EVT ตั้งเป้ายอดรายได้ทะลุ 200 ล้านบาท เติบโต 40%

 

บริษัท รถไฟฟ้า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ EVT ซึ่งเป็นผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่ายรถโดยสารขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าและผู้ให้บริการเดินรถไฟฟ้ารายแรกในประเทศไทยมาเป็นเวลากว่า 30 ปี ตั้งเป้ารายได้เติบโตในปีนี้ 30% ในปีนี้ โดยช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา สามารถสร้างรายได้ตามเป้าหมายที่กำหนด

นายกฤศ โกษานันตชัย กรรมการผู้จัดการ EVT เปิดเผยว่า ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา สามารถทำรายได้ประมาณ 40% ของเป้าตลอดทั้งปีผ่านโครงการภาครัฐและเอกชน ซึ่งช่วง 7 เดือนที่เหลือของปีนี้ คาดว่าจะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมาย โดย EVT จะเร่งขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ผ่านพันธมิตรคู่ค้าในภูมิภาคต่าง ๆ อีกทั้งจะมุ่งเน้นการขยายฐานธุรกิจไปยังธุรกิจภาคเอกชนที่มีความต้องการใช้รถโดยสารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

EVT เป็นผู้ให้บริการและจำหน่ายรถโดยสารไฟฟ้า 100% โดยบริการจะเป็นลักษณะการให้บริการครบวงจร ผ่านระบบการออกแบบรถให้สอดคล้องกับเส้นทาง การบริหารการเดินรถด้วยการออกแบบเส้นทางร่วมกับลูกค้า การจัดหาพนักงานขับรถและพนักงานต้อนรับบนรถ รวมถึงการวางโครงข่ายระบบนิเวศน์ของรถไฟฟ้าเช่นสถานที่จอดรถ สถานนีชาร์จไฟ เป็นต้น นอกจากนี้ EVT ยังได้พัฒนา Application ติดตามรถบนมือถือแบบ Realtime ให้กับผู้โดยสาร และการให้บริการหลังการขาย การฝึกอบรมพนักงาน ซึ่งการให้บริการดังกล่าวเป็นการนำเสนอ Solution ที่สมบูรณ์แบบให้กับลูกค้า

“ลูกค้าเพียงแค่ตั้งงบประมาณที่ทำให้โครงการสามารถดำเนินการได้ เรามีหน้าที่ทำต่อจากนั้นให้กับลูกค้า จึงทำให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจ และส่วนใหญ่เมื่อได้ร่วมงานกับเราแล้ว มักจะมีการบอกต่อและใช้บริการเราอย่างต่อเนื่อง ซึ่งลูกค้าไม่จำเป็นต้องรับภาระการดูแลรถ เพราะบริการของเราเป็นลักษณะสัญญาว่าจ้างระยะยาว ซึ่งรวมถึงการซ่อมบำรุง” นายกฤศ กล่าว

นายกฤศกล่าวว่าปัจจุบัน ลูกค้าของ EVT ส่วนใหญ่เป็นสถาบันการศึกษา หน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ และโรงพยาบาล ซึ่งหน่วยงานเหล่านี้ มีความประสงค์จะลดการใช้รถส่วนตัวของพนักงานและผู้มาติดต่อเพื่อลดปัญหาจราจรและมีส่วนร่วมต่อการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม จึงได้เน้นการใช้รถโดยสารไฟฟ้า ซึ่ง EVT มีประสบการณ์ยาวนานถึง 30 ปีในการให้บริการการเดินรถโดยสารไฟฟ้า

อย่างไรก็ตาม นายกฤศ กล่าวว่า EVT ได้กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน นับจากปีนี้เป็นต้นไป EVT จะต้องมีผลการดำเนินงานแบบก้าวกระโดด ดังนั้น ปีนี้ EVT จึงได้กำหนดเป้าหมายการสร้างเครือข่ายพันธมิตรคู่ค้าทั่วประเทศเพื่อขยายฐานลูกค้าออกไปให้กว้างมากขึ้น

“ที่ผ่านมา เราได้รับการติดต่อจากลูกค้าจากทั่วประเทศจำนวนมากเพาะพวกเขาสนใจในรูปลักษณ์ที่ทันสมัยของตัวรถ ความสะดวกสะบายภายในตัวรถและการให้บริการที่ดีของพนักงานประจำรถ การรักษาสิ่งแวดล้อม การลดปัญหาจราจรรอบบริเวณที่ทำงาน ทำให้เขาสนใจ แต่เราเองต้องการให้บริการของเราสามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นการหาพันธมิตรในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศที่มีประสบการณ์ด้านการให้บริการรถยนต์และเครือข่ายลูกค้า มาร่วมงานกับเรา โดยเรามีหลักปรัชญาการร่วมงานกันว่าเราจะโตไปด้วยกัน” นายกฤศ กล่าว

นายกฤศกล่าวว่า กลุ่มเป้าหมายต่อจากหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจแล้ว EVT จะรุกพัฒนาตลาดไปยังกลุ่มภาคเอกชนที่มีความต้องการใช้รถโดยสารไฟฟ้าเพื่อให้บริการพนักงานภายในองค์กรและผู้ติดต่อกับหน่วยงานเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการติดต่อกับองค์กร

“เราเห็นประเด็นข้อกังวลของลูกค้ามาตลอด ที่ผ่านมา ลูกค้าราชการและรัฐวิสาหกิจ ประสบปัญหาเดียวกับภาคเอกชน ตัวอย่างเช่นโรงพยาบาลใจกลางเมือง จะมีปัญหาเรื่องที่จอดรถและการจราจรภายในโรงพยาบาล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปัญหามลพิษบริเวณรอบโรงพยาบาล การใช้บริการของ EVT จึงเป็นการแก้ไขที่ตรงประเด็น ทำให้เราสามารถนำต้นแบบนี้ไปนำเสนอกับลูกค้าภาคเอกชนได้” นายกฤศ กล่าว

นายกฤศกล่าวว่า EVT ตั้งเป้าหมายในการแต่งตั้งพันธมิตรให้เป็นตัวแทนด้านการขายและบริการของ EVT ในแต่ละภูมิภาค เพื่อดำเนินการและรับผิดชอบด้านการขายและการบริการหลังการขาย โดยพันธมิตรที่ได้รับการแต่งตั้งจะต้องมีความรู้ความชำนาญด้านการขายและบริการรถโดยสารไฟฟ้า อีกทั้งจะต้องมีสถานที่สำหรับการติดตั้งอุปกรณ์และเครื่องมือสำหรับให้บริการ โดย EVT จะถ่ายทอดเทคโนโลยีในตัวรถ EVT ให้แก่พันธมิตรเพื่อประสิทธิภาพในการให้บริการและการทำตลาดในแต่ละภูมิภาค ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเร่งเจรจาเพื่อหาข้อสรุปกับผู้สนใจ โดยคาดว่าจะหาข้อสรุปได้ในเร็ว ๆ นี้

นายกฤศกล่าวว่าการรุกการทำตลาดในช่วงนี้ ถือเป็นจังหวะที่ดีเพราะรัฐบาลได้กำหนดนโยบายส่งเสริมการใช้รถโดยสารและรถบรรทุกไฟฟ้า โดยล่าสุด คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ได้ออกมาตรการให้บริษัทหรือนิติบุคคลที่เข้าร่วมโครงการซื้อรถโดยสารหรือรถบรรทุกไฟฟ้ามาใช้งานโดยไม่มีกำหนดเพดานราคาขั้นสูง ซึ่งกรณีซื้อรถที่ผลิต/ประกอบในประเทศ สามารถนำมาหักค่าใช้จ่าย ได้ 2 เท่า และในกรณีนำเข้ารถสำเร็จรูปจากต่างประเทศ สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 1.5 เท่า โดยมาตรการนี้จะมี ผลใช้บังคับจนถึงสิ้นปี 2568                             

การออกมาตรการสนับสนุนการใช้รถโดยสารไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้าครั้งนี้ ถือเป็นการต่อยอดจากมาตรการ EV3 และ EV3.5 ที่เน้นกลุ่มรถยนต์นั่ง รถจักรยานยนต์และรถกระบะเป็นหลัก ซึ่งบอร์ดอีวีคาดว่าการสนับสนุนการใช้รถไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ครั้งนี้ จะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนรถยนต์เชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 10,000 คัน ซึ่งจะมีส่วนผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอีวีของภูมิภาคในรถยนต์ทุกประเภท