PTG ใหญ่ที่สุดอันดับที่ 58
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ผ่านการจัดลำดับ Fortune 500
บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) ได้รับการจัดอันดับที่ 58 ใน Fortune Southeast Asia 500 ซึ่งอ้างอิงจากรายได้ในปี 2566 ของกลุ่มบริษัทในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากนิตยสาร Fortune และการจัดอันดับในครั้งนี้เป็นครั้งแรกของกลุ่มภูมิภาคดังกล่าวที่จัดขึ้นมา ตอกย้ำให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารงาน และก้าวหน้าที่โดดเด่นมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ เพื่อตอบโจทย์วิสัยทัศน์อยู่ดี มีสุข
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับจาก Fortune Southeast Asia 500 ประจำปี 2567 เป็นครั้งแรก ในฐานะที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีรายได้ในปี2566 สูงสุดเป็นอันดับที่ 58 ของบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 198,811 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.8% เทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อน
“นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่บริษัทฯ ได้รับการยอมรับในระดับโลก และเราภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้ร่วมผลักดันประเทศไทยให้เป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญของภูมิภาค การได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีขนาดใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความสำเร็จนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นถึงความทุ่มเทในการทำงานของทีมงานที่ทำให้ผลการดำเนินงานมีความแข็งแกร่งและขยายธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน รวมถึงการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าและผู้บริโภคด้วยกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจที่หลากหลายเพื่อความยั่งยืน โดยยึดหลัก PT สร้างสุข สุขกาย สุขใจ สังคมอยู่ร่วมกันอย่าง อยู่ดีมีสุข” นายพิทักษ์ กล่าว
โดยในปีนี้ บริษัทยังคงวางเป้าการเติบโตของรายได้ผ่านปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทางที่เติบโต 10-12% จากปีก่อน รวมถึงการเพิ่มขึ้นของรายได้ในกลุ่มธุรกิจ Non-Oil ที่ระดับ 40-50% จากปีก่อนหน้า
นิตยสารฟอร์จูนเป็นสื่อธุรกิจที่ได้รับความน่าเชื่อถือมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยการจัดอันดับ Fortune Southeast Asia 500 นับเป็นการจัดอันดับครั้งแรกในปี 2567 เพื่อเผยแพร่รายชื่อ 500 บริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยพิจารณาจากเกณฑ์รายได้ของบริษัทในแต่ละปี สำหรับประเทศที่ได้รับจัดอันดับครั้งแรกประกอบไปด้วยบริษัทจาก 7 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา