ตลาดรถยนต์ครึ่งปีแรกทรงตัวจากภาวะสินเชื่อตึงตัว

คาดตลาดรวมปรับตัว 855,000 คัน

 

มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยสถิติการจำหน่ายรถยนต์ครึ่งแรกของปี 2566 พร้อมคาดการณ์ตลาดรถยนต์ไทยปี 2566 เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2566

มร.ยามาชิตะ กล่าวว่า “อุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรก ยังคงอยู่ในภาวะทรงตัว โดยมีปัจจัยบวกจากแรงหนุนด้านอุปสงค์ของสภาวะเศรษฐกิจไทยโดยรวมที่เริ่มขยายตัวดีขึ้นในปีนี้ รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีทิศทางกระเตื้องขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มมีการฟื้นตัว ส่งผลให้มีความต้องการใช้รถยนต์มากขึ้น ตลอดจนแรงกระตุ้นจูงใจผู้บริโภคด้วยการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ พร้อมแคมเปญการขายเชิงรุกของบรรดาบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ทั้งหลาย

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์โดยรวมในช่วงหลังนี้ อันเป็นผลมาจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ภาวะสินเชื่อตึงตัว และความผันผวนทางเศรษฐกิจในช่วงของการเลือกตั้ง ซึ่งก่อให้เกิดการชะลอการตัดสินใจซื้อทั้งจากภาคธุรกิจและภาคประชาชน ที่ต่างเฝ้ารอความชัดเจนในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวม ส่งผลให้ตัวเลขยอดขายตลาดรวมในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 406,131 คัน ลดลง 5% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว

สำหรับผลการดำเนินงานของโตโยต้าในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 มียอดขายโดยรวมอยู่ที่ 136,859 คัน ลดลง 3.6% ยังคงมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 หรือเท่ากับ 33.7% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความนิยมและยอดขายรถยนต์โตโยต้าในตลาดรถยนต์นั่งที่เติบโตขึ้นถึง 31.2% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มรถอีโคคาร์ที่ยังคงสามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 ได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ในตลาดรถเพื่อการพาณิชย์นั้นก็ยังสามารถรักษาระดับยอดขายได้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ถึงแม้ว่าสถานการณ์โดยรวมของตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ในช่วงครึ่งปีแรกนี้จะเกิดการชะลอตัวลงก็ตาม

สำหรับแนวโน้มตลาดรถยนต์ของปี 2566 มร.ยามาชิตะคาดการณ์ว่า “ด้วยเหตุปัจจัยในหลาย ๆ ด้าน ทั้งการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ทำให้การบริโภคของภาคเอกชนและภาคบริการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลดลง การสนับสนุนการลงทุนจากทั้งภาครัฐและเอกชนในโครงการต่าง ๆ ตลอดจนการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่และแคมเปญส่งเสริมการขายจากค่ายรถต่าง ๆ ในช่วงครึ่งปีหลัง จะส่งผลต่อทิศทางของเศรษฐกิจและตลาดรถยนต์โดยรวม เชื่อว่าเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังนี้น่าจะยังคงฟื้นตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นเราจึงคาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ในปี 2566 จะอยู่ที่ 855,000 คัน เพิ่มขึ้น  0.7% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา"

มร.ยามาชิตะ กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับโตโยต้า เรามีเป้าหมายการขายในปี 2566 อยู่ที่ 291,000 คัน เพิ่มขึ้น 0.8 % จากปีที่ผ่านมา คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดที่ 34%"       

ปริมาณการส่งออกของโตโยต้าในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 บริษัทฯ ได้ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปจำนวน 190,491 คัน เพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยยอดการผลิตสำหรับการขายภายในประเทศและการส่งออกมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 325,231 คัน เพิ่มขึ้น 5.3% จากปีที่แล้ว

ทั้งนี้ สำหรับเป้าหมายการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปของโตโยต้าในปีนี้ คาดการณ์ว่าปริมาณการส่งออกจะอยู่ที่ ประมาณ 380,000 คัน เทียบเท่าปีที่แล้ว โดยเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อของประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัวลง ส่งผลให้ปริมาณการผลิตรถยนต์ของโตโยต้าในปี 2566 อยู่ที่ระดับ 643,500 คัน หรือลดลง 2.4% จากปีที่แล้ว ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการขายของทั้งในประเทศและส่งออก

มร.ยามาชิตะ ยังได้กล่าวอีกด้วยว่า “ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมานั้น นอกเหนือจากการดำเนินธุรกิจ ยานยนต์แล้ว โตโยต้ายังได้มีในการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการสร้าง “ความเป็นกลางทางคาร์บอน” (Carbon Neutrality) ตามที่ได้ประกาศเจตนารมณ์ไว้ในงานฉลองวาระครบรอบ 60 ปี ของบริษัทฯ เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งโตโยต้าได้มีการเตรียมความพร้อมในหลากหลายแนวทาง หรือ “Multiple Pathway”  เพื่อทุกความเป็นไปได้ที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการเดินทางของผู้คน โดยมีการร่วมมือกับพันธมิตรในอุตสาหกรรมอื่น ๆ อาทิ เช่น “โครงการพัฒนาเมืองต้นแบบที่ยั่งยืนปราศจากมลภาวะ” ที่โตโยต้าร่วมมือกับเมืองพัทยา ในการจัดสร้างระบบนิเวศเพื่อรองรับการใช้งานยานยนต์ที่ทางโตโยต้าจัดเตรียมไว้ให้ผู้คนในชุมชนและนักท่องเที่ยวในเมืองพัทยาได้ทดลองใช้งานในการเดินทางรูปแบบต่าง ๆ อาทิรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV), รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (BEV) รวมไปถึงความร่วมมือในโครงการเปิดสถานีไฮโดรเจนแห่งแรกของประเทศไทย เพื่อนำมาเป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบเซลล์เชื้อเพลิง (FCEV) ที่โตโยต้านำมาสาธิตการใช้งานในรูปแบบของรถรับส่งระหว่างสนามบินอู่ตะเภา เพื่อให้บริการแก่นักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจในพื้นที่พัทยา – ชลบุรี และได้มีการต่อยอดมาสู่ความร่วมมือในการวางแผนที่จะนำรถยนต์พลังงานไฟฟ้าต้นแบบอย่างรถกระบะโตโยต้า รุ่น Hilux REVO BEV ซึ่งเป็นรถกระบะพลังงานไฟฟ้า 100% มาทดลองให้บริการในรูปแบบรถโดยสารประจำทางสาธารณะแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยวในเมืองพัทยา โดยคาดว่าจะพร้อมให้บริการได้ภายในปี 2567

นอกจากนี้ ในด้านกิจกรรมสังคมอื่น ๆ ก็ยังมุ่งเน้นการขับเคลื่อนสังคมไทย สู่ “ยุคแห่งการพัฒนาอย่างยั่งยืน” เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย พร้อมทั้งเสริมสร้างสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมที่ดี ผ่านการดำเนินกิจกรรมและขยายผลการดำเนินงานในโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิเช่น

การรณรงค์ด้านการขับขี่ปลอดภัยกับ “โครงการ โตโยต้า ถนนสีขาว" โดยร่วมกับกรมการขนส่งทางบก จัดทำ “วีดิทัศน์การคาดการณ์อุบัติเหตุ (Hazard Perception Training)” โดยนำเนื้อหาที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลอุบัติเหตุทางถนนในประเทศไทย มาพัฒนาเป็นองค์ความรู้ที่สามารถเข้าใจได้ง่ายสำหรับประชาชน เพื่อช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงที่เป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุจากรถยนต์ได้จริง อันได้แก่ ทักษะด้านการรับรู้ความเสี่ยง (Risk Perception) และทักษะการคาดการณ์อุบัติเหตุ (Hazard Perception) ของผู้ขับรถยนต์ที่มีต่อสถานการณ์การจราจรต่าง ๆ

การรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อมุ่งสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนกับ “โครงการโตโยต้า 60 ปี 60 ชุมชน สิ่งแวดล้อมยั่งยืน” ที่มีแผนต่อยอดชุมชนต้นแบบด้านสิ่งแวดล้อมที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน ให้ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาค โดยในปีนี้มีแผนในการขยายผลส่งมอบโครงการอีก 3 แห่ง ได้แก่ เชียงใหม่ ราชบุรี บุรีรัมย์

การดำเนิน “โครงการ โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์” โดยแชร์ความรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพการดำเนินธุรกิจของวิสาหกิจชุมชนไทย ผ่านการจัดตั้ง “ศูนย์การเรียนรู้ โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์” ครบทั้ง 6 แห่ง ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคของประเทศโตโยต้า ร่วมขับเคลื่อนอนาคต

 ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมิถุนายน 2566

1. ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 64,440 คัน ลดลง 5.2%

อันดับที่ 1 โตโยต้า      20,877 คัน      ลดลง       0.7%          ส่วนแบ่งตลาด 32.4%

อันดับที่ 2 อีซูซุ          12,505 คัน      ลดลง      37.9%         ส่วนแบ่งตลาด 19.4%

อันดับที่ 3 ฮอนด้า       7,067 คัน       เพิ่มขึ้น     60.8%         ส่วนแบ่งตลาด  11.0%

2. ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 24,333 คัน เพิ่มขึ้น 24.2%

อันดับที่ 1 โตโยต้า      7,411 คัน       เพิ่มขึ้น   26.0%          ส่วนแบ่งตลาด 30.5%

อันดับที่ 2 ฮอนด้า       4,441 คัน       เพิ่มขึ้น   76.4%          ส่วนแบ่งตลาด 18.3%

อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ      1,351 คัน        ลดลง     34.7%          ส่วนแบ่งตลาด 5.6%

3. ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 40,107 คัน ลดลง 17.1%

อันดับที่ 1 โตโยต้า      13,446 คัน      ลดลง     11.1%          ส่วนแบ่งตลาด 33.6%

อันดับที่ 2 อีซูซุ           12,505 คัน      ลดลง     37.9%          ส่วนแบ่งตลาด 31.2%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด        3,215 คัน       เพิ่มขึ้น  16.7%           ส่วนแบ่งตลาด  8.0%

4. ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV) ปริมาณการขาย 27,339 คัน ลดลง 27.3%

อันดับที่ 1 อีซูซุ           11,100 คัน     ลดลง    40.5%          ส่วนแบ่งตลาด 40.6%

อันดับที่ 2 โตโยต้า       10,803 คัน     ลดลง    14.5%          ส่วนแบ่งตลาด 39.5%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด          3,215 คัน      เพิ่มขึ้น  16.7%           ส่วนแบ่งตลาด  11.8%

ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน : 5,200 คัน อีซูซุ 2,007 คัน - โตโยต้า 1,561 คัน – ฟอร์ด 1,164 คัน – มิตซูบิชิ 303 คัน –นิสสัน 165 คัน

5. ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 22,139 คัน ลดลง 33.8%

อันดับที่ 1 โตโยต้า      9,242 คัน        ลดลง      17.3%         ส่วนแบ่งตลาด 41.7%

อันดับที่ 2 อีซูซุ          9,093 คัน        ลดลง      46.7%         ส่วนแบ่งตลาด 41.1%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด        2,051 คัน        ลดลง      13.1%         ส่วนแบ่งตลาด  9.3%

สถิติการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมกราคม มิถุนายน 2566

1. ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 406,131 คัน ลดลง 5.0%

อันดับที่ 1 โตโยต้า      136,859 คัน     ลดลง       3.6%          ส่วนแบ่งตลาด 33.7%

อันดับที่ 2 อีซูซุ            86,281 คัน      ลดลง      21.5%         ส่วนแบ่งตลาด 21.2%

อันดับที่ 3 ฮอนด้า      46,134 คัน      เพิ่มขึ้น    14.9%         ส่วนแบ่งตลาด 11.4%

2. ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 148,087 คัน เพิ่มขึ้น 9.0%

อันดับที่ 1 โตโยต้า       51,041 คัน      เพิ่มขึ้น       31.2%      ส่วนแบ่งตลาด 34.5%

อันดับที่ 2 ฮอนด้า      30,425 คัน      เพิ่มขึ้น       2.9 %       ส่วนแบ่งตลาด 20.5%

อันดับที่ 3  มิตซูบิชิ      9,578 คัน       ลดลง       14.3%        ส่วนแบ่งตลาด  6.5%

3. ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 258,044 คัน ลดลง 11.4%

อันดับที่ 1 อีซูซุ          86,281 คัน      ลดลง      21.5%         ส่วนแบ่งตลาด 33.4%

อันดับที่ 2 โตโยต้า      85,818 คัน      ลดลง      16.8%         ส่วนแบ่งตลาด 33.3%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด        20,117 คัน      เพิ่มขึ้น     35.0%        ส่วนแบ่งตลาด  7.8%

4. ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV) ปริมาณการขาย 182,952 คัน ลดลง 19.7%

อันดับที่ 1 อีซูซุ           78,633 คัน      ลดลง     22.5%           ส่วนแบ่งตลาด 43.0%

อันดับที่ 2 โตโยต้า      70,544 คัน      ลดลง     20.9%          ส่วนแบ่งตลาด 38.6%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด        20,117 คัน     เพิ่มขึ้น   35.0%          ส่วนแบ่งตลาด 11.0%

ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน : 33,267 คัน อีซูซุ 11,953 คัน – โตโยต้า 11,762 คัน – ฟอร์ด 6,270 คัน – มิตซูบิชิ 2,593  คัน – นิสสัน 689 คัน

5. ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 149,685 คัน ลดลง 24.5%

อันดับที่ 1 อีซูซุ               66,680 คัน  ลดลง        27.8%       ส่วนแบ่งตลาด 44.5%

อันดับที่ 2 โตโยต้า         58,782 คัน  ลดลง        22.4%       ส่วนแบ่งตลาด 39.3%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด           13,847 คัน   เพิ่มขึ้น        9.4%       ส่วนแบ่งตลาด  9.3%