พาชมรถใหม่ ในงาน

Motor Show 2023

 

เริ่มแล้ว บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44 ชูแนวคิด “COLORFUL EXPERIENCE ประสบการณ์ครบทุกสีสัน” ตอกย้ำความยิ่งใหญ่ความเป็นผู้นำด้านงานจัดแสดงรถยนต์ ค่ายรถยนต์ - รถจักรยานยนต์มากกว่า 40 แบรนด์ A car news พาส่องรถใหม่ ดังนี้

ASTON MARTIN

 

DBX707 ขุมพลังเบนซินทวินเทอร์โบ วี8 สูบ 4.0 ลิตร ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ด้วยการเปลี่ยนใช้เทอร์โบบอลแบริ่งขนาดใหญ่ พร้อมปรับแต่งอีซียู เพื่อรีดแรงม้า-แรงบิด ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ multi-plate wet clutch 9 จังหวะ ที่สามารถรับมือกับพละกำลัง 707 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 900 นิวตันเมตร ที่ 2,750-4,500 รอบต่อนาที อีกทั้งยังช่วยให้เกียร์สามารถเปลี่ยนได้รวดเร็วและกระชับกว่าเดิม มาพร้อมอัตราเร่งกระชากใจ 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 3.3 วินาที ท็อปสปีด 310 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

 

Vantage Roadster F1 Edition ดุดันเทียบชั้นเซฟตี้คาร์ของ ฟอร์มูลาวันมาพร้อมรูปลักษณ์น่าตื่นตาตื่นใจ ด้วยเส้นสายบึกบึน ผสานแนวทางการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ สะท้อนคาแรคเตอร์ของนักล่า และสมรรถนะที่ไม่ธรรมดา พร้อมเอกลักษณ์ของการเป็นรถเปิดหลังคาท้าสายลม พร้อมความเร้าใจยิ่งกว่า กับรุ่นพิเศษ ‘แวนเทจ โรดสเตอร์ เอฟวัน อิดิชั่น’ ที่มาพร้อมแอโรพาร์ทรอบคัน พร้อมโลโก้ ดุดันแบบรถแข่ง เพื่อเฉลิมฉลองการคืนสู่สนามแข่ง ฟอร์มูลาวัน ของ แอสตัน มาร์ติน

แวนเทจ โรดสเตอร์ เอฟวัน อิดิชั่น ใช้เครื่องยนต์เบนซิน วี8 สูบ 4.0 ลิตร เทอร์โบคู่ 535 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 685 นิวตันเมตร ที่ 2,000-5,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 3.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 305 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยเครื่องยนต์ถูกติดตั้งให้ชิดกับตัวถังมากสุด เพื่อการกระจายน้ำหนักที่สมดุล 50:50% ขณะที่พิกัด 1,645 กิโลกรัม ส่งผลดีต่ออัตราส่วนแรงม้าต่อน้ำหนัก

 

AUDI

Audi RS 7 Sportback Performance อัพเกรดขุมพลังที่พร้อมระเบิดความแรงทุกวินาที ดีไซน์ภายนอกผสมผสานความสปอร์ตในสไตล์ Sportback และความหรูหราเข้าด้วยกัน เพื่อให้รถยนต์สมรรถนะสูงคันนี้ สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกสบายในทุกโอกาส ไม่ว่าจะสุขุมทรงพลังสำหรับชีวิตประจำวัน หรือเร้าใจไร้ขีดจำกัดเสมือนอยู่ในสนามแข่ง มาพร้อมสมรรถนะที่ดุดันยิ่งกว่าเดิม ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน mild hybrid แบบ V8 biturbo ระเบิดพลัง 630 แรงม้า (เพิ่มขึ้น 30 แรงม้า) แรงบิดที่ 850 นิวตันเมตร (เพิ่มขึ้น 50 นิวตันเมตร) อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 3.4 วินาที (รุ่นปกติ 3.6 วินาที) ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 280 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ราคา 11,280,000 บาท

 

Audi RS 6 Avant Performance  ที่สุดแห่งความสำเร็จ ความสมบูรณ์แบบของยนตรกรรมสมรรถนะสูงที่ถูกยอมรับจากทั่วโลก ถ่ายทอดผ่านดีไซน์อันโดดเด่นในแบบฉบับ Avant สเตชันแวกอน อันเป็นเอกลักษณ์ที่ยากจะมีใครเหมือนจาก Audi การผสมผสานอย่างน่าทึ่งของรถสปอร์ตสมรรถนะสูง ทรงพลังเร้าใจ พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro พกพาขุมพลังที่ไร้ขีดจำกัดมากับพื้นที่ใช้สอยสำหรับทั้งครอบครัวยุคใหม่ ที่สะดวกสบายกว้างขวาง พื้นที่เก็บสัมภาระกว้างถึง 548 ลิตร โดดเด่นเรื่องการใช้งานที่สะดวกสบายในชีวิตประจำวัน ยิ่งทำให้ RS 6 Avant Performance มีความพิเศษสุดไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะใช้ขับขี่ในชีวิตประจำวัน หรือสนุกเร้าใจไร้ขีดจำกัดเสมือนอยู่ในสนามแข่ง จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไม RS 6 Avant Performance ได้กลายเป็นขวัญใจของผู้ที่รักความแรง และสร้างความตื่นเต้นให้กับ Audi Sport GmbH และฐานแฟนอาวดี้ทั่วโลกมากว่า 20 ปี ราคา 11,280,000 บาท

 

BMW

บีเอ็มดับเบิลยู XM ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 8 สูบ ขนาด 4.4 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี BMW M TwinPower Turbo ล้ำสมัย ระบบขับเคลื่อน M HYBRID ที่ติดตั้งมาในรถยนต์รุ่นนี้ช่วยเสริมประสิทธิภาพและสมรรถนะของรถโดยไม่ก่อให้เกิดมลพิษเมื่อโลดแล่นบนท้องถนน โดยระบบขับเคลื่อน M HYBRID ในรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู XM ให้กําลังรวมสูงสุดที่ 653 แรงม้าแรงบิดรวมสูงสุด 800 นิวตันเมตร ด้านเครื่องยนต์สันดาปให้พละกำลังสูงสุดที่ 489 แรงม้า ที่ 5,400 – 7,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 650 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 5,000 รอบต่อนาที ในขณะที่ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าให้กำลังมอเตอร์สูงถึง 145 กิโลวัตต์ / 197 แรงม้า ให้แรงบิดมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 280 นิวตันเมตร นอกจากนี้ ผู้ขับขี่สามารถเลือกกดปุ่ม M Hybrid ที่คอนโซลกลางเพื่อเข้าโหมดใดโหมดหนึ่งจากทั้งหมด 3 โหมด รวมถึงโหมดการทำงานด้วยระบบไฟฟ้า 100% สำหรับการขับขี่ที่ปลอดมลพิษด้วยความเร็วสูงสุด 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บนระยะทางขับเคลื่อนไฟฟ้าสูงสุด 98 กิโลเมตร อ้างอิงตามมาตรฐานการทดสอบ NEDC โดยใช้พลังงานจาก ลิเธียม-ไอออนแบตเตอรี่ขนาด 29.5 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ที่ติดตั้งอยู่ด้านใต้ท้องรถ เร่งความเร็วจากหยุดนิ่งถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 4.3 วินาที สู่ความเร็วสูงสุดที่ 270 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะ 4 ล้อ M xDrive ที่ติดตั้งในบีเอ็มดับเบิลยู XM ใหม่ ช่วยให้มั่นใจได้ว่าแรงทั้งหมดจะถูกส่งไปยังถนนอย่างมีประสิทธิภาพ ราคา 14,899,000 บาท

 

บีเอ็มดับเบิลยู X7 xDrive40d M Sport ใหม่ มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ส่งพละกำลังสูงสุด 250 กิโลวัตต์ / 340 แรงม้า / 4,400 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร ที่ 1,750 – 2,250 รอบต่อนาที มาพร้อมระบบ Mild Hybrid ที่มีขนาด 48 โวลต์ ส่งกำลังมอเตอร์ไฟฟ้า 9 กิโลวัตต์ / 12 แรงม้า ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์เพื่อมอบพละกำลังรวมสูงสุด 259 กิโลวัตต์ / 352 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุด 720 นิวตันเมตร พร้อมโลดแล่นสู่ความเร็วสูงสุดที่ 243 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เร่งความเร็วจาก 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ในเวลาเพียง 5.9 วินาที เครื่องยนต์นี้ทำงานสอดประสานกับเกียร์อัตโนมัติ Sport Steptronic 8 จังหวะ ช่วงล่างแบบถุงลมสามารถปรับระดับอัตโนมัติ และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ xDrive จึงมอบความนุ่มสบายเหนือระดับ การควบคุมที่เฉียบคม และความปราดเปรียวอันทรงพลัง ขณะที่ระบบควบคุมช่วงล่าง Executive Drive Pro เสริมความมั่นใจด้วยเสถียรภาพที่เหนือกว่าในทุกจังหวะการขับขี่ ราคา 6,599,000 บาท

 

บีเอ็มดับเบิลยู 750e xDrive M Sport ใหม่ มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ BMW TwinPower Turbo ให้กำลังสูงสุด 230 กิโลวัตต์ / 313 แรงม้า / 5,000 - 6,500 รอบต่อนาที ส่งแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร / 1,750 - 4,700 รอบต่อนาที กิโลวัตต์ชั่วโมง มอเตอร์ไฟฟ้าส่งกำลังสูงสุด 145 กิโลวัตต์ / 197 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร เมื่อทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ จะส่งกำลังรวมสูงสุด 360 กิโลวัตต์ / 489 แรงม้า และให้แรงบิดรวมสูงสุด 700 นิวตันเมตร พร้อมความจุพลังงานแบตเตอรี่ไฟฟ้าแรงสูงที่ 22.1 กิโลวัตต์-ชั่วโมง โดยมีอัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ 20.05 กิโลวัตต์-ชั่วโมง/100 กิโลเมตร และให้ระยะทางการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าสูงสุดที่ 85 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC สร้างความเร็วสูงสุดที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เร่งความเร็วจาก 0 - 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 4.8 วินาที ราคา 6,999,000 บาท

 

บีเอ็มดับเบิลยู X1 sDrive18i โฉมใหม่ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ให้พละกำลังสูงสุด 115 กิโลวัตต์ / 156 แรงม้า ที่ 4,900 – 6,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุดที่ 230 นิวตันเมตร ที่ 1,500 – 4,600 รอบต่อนาที โดยสามารถเร่งความเร็วจากหยุดนิ่งถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 9 วินาที ก่อนพุ่งทะยานสู่ความเร็วสูงสุดที่ 215 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บีเอ็มดับเบิลยู X1 sDrive18i โฉมใหม่ ยังโดดเด่นด้วยเทคโนโลยีการขับเคลื่อน มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ แบบ Steptronic พร้อมคลัตช์คู่ ระบบช่วยขับขี่ และระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ ราคา 2,249,000 บาท

 

รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3 ทั้งสองรุ่นมอบขุมพลังเครื่องยนต์ที่แตกต่างกัน โดยบีเอ็มดับเบิลยู 330Li M Sport ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ส่งกำลังสูงสุด 190 กิโลวัตต์ / 258 แรงม้า ที่ 5,000 – 6,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรที่ 1,550 – 4,400 รอบต่อนาที เร่งความเร็วจากหยุดนิ่งถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 6.2 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู 320Li M Sport ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ BMW TwinPower Turbo ส่งกำลังสูงสุด 135 กิโลวัตต์ / 184 แรงม้าที่ 5,000 – 6,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตรที่ 1,350 – 4,400 รอบต่อนาที โลดแล่นด้วยความเร็วจากหยุดนิ่งถึง 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 7.9 วินาที มอบความเร็วสูงสุดที่ 233 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บีเอ็มดับเบิลยู 330Li M Sport ใหม่ ราคา 3,099,000 บาท บีเอ็มดับเบิลยู 320Li M Sport ใหม่ ราคา 2,759,000 บาท

 

GWM

All New GWM TANK 500 Hybrid SUV เป็นรถยนต์เอสยูวีออฟโรดระดับพรีเมียม สร้างบนแพลตฟอร์ม TANK แพลตฟอร์มโมดูล่าร์ออฟโรดอัจฉริยะ มีความยืดหยุ่นสูง สามารถรองรับระบบเครื่องยนต์ได้หลายประเภทและหลากหลายขนาด ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร เทอร์โบ ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังรวมสูงสุด 350 แรงม้า ให้แรงบิดรวมสูงสุด 616 นิวตันเมตร ระบบเกียร์แบบ 9HAT ที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับระบบการขับเคลื่อนที่หลากหลายของรถยนต์ไฮบริด พร้อมโหมดการขับขี่ 11 รูปแบบ มีด้วยกันทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น ULTRA และรุ่น PRO และมีสีภายนอกให้เลือกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ ขาว ดำ เทา แดง และสีใหม่เทาคริสตัล (เฉพาะรุ่น ULTRA) จับคู่กับสีภายในสีดำและทูโทนสีน้ำเงิน-เบจ (เฉพาะรุ่น ULTRA และสีเทาคริสตัล) ตัวรถมีขนาดกว้างขวางและใหญ่ที่สุดในรถระดับเดียวกัน โดยมิติตัวรถอยู่ที่ 1,934 x 5,078 x 1,905 มม. (กว้าง x ยาว x สูง) ระยะฐานล้อ 2,850 มม. การออกแบบระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระ ดับเบิ้ล ครอส อาร์ม และระบบกันสะเทือนหลังแบบอิสระมัลติลิงค์ ให้การขับขี่ที่ยึดเกาะถนนและนั่งสบายเพื่อตอบสนองการขับขี่ทั้งในเมืองและนอกเมือง เพื่อความต้องการของทุกคนในครอบครัว

 

HONDA

ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ยนตรกรรมพรีเมียมเอสยูวีขนาดใหญ่ มาพร้อมดีไซน์ภายนอกที่สปอร์ตพรีเมียม แข็งแกร่งในทุกมิติ ครั้งแรกกับขุมพลังการขับเคลื่อนระบบฟูลไฮบริด e:HEV อันทรงพลังใน ซีอาร์-วี ใหม่ ด้วยเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร Direct Injection Atkinson Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนประสิทธิภาพสูง ตอบสนองได้ทันใจด้วยแรงบิดสูงสุด 335 นิวตัน-เมตร มอบอัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมสูงสุดถึง 20.8 กม./ลิตร* (รุ่น e:HEV ES) และขุมพลังเทอร์โบ เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Direct Injection DOHC VTEC TURBO มอบกำลังสูงสุด 190 แรงม้า ผสานการทำงานกับเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง (CVT) และมีอัตราการประหยัดน้ำมันสูงสุด 14.3 กม./ลิตร* (รุ่น E) และรองรับน้ำมัน E85 มีให้เลือกทั้งแบบระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ (Real Time(TM) AWD with E-DPS) ห้องโดยสารกว้างขวาง สะดวกสบาย พร้อมรองรับทุกไลฟ์สไตล์กับเบาะโดยสารแบบ 5 ที่นั่ง และ 7 ที่นั่ง มั่นใจทุกเส้นทางด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ในทุกรุ่นย่อย ครบครันด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกระดับพรีเมียมและเทคโนโลยีอันล้ำสมัยที่หลากหลาย มีให้เลือกทั้งหมด 5 รุ่นย่อย กับ 2 ขุมพลังทางเลือก ได้แก่ เครื่องยนต์เทอร์โบและระบบฟูลไฮบริด e:HEV ด้วยราคาเริ่มต้น 1,419,000 บาท

 

ฮอนด้า ดับเบิลยูอาร์-วี ใหม่ ยนตรกรรมสปอร์ตเอสยูวี 5 ที่นั่ง ที่ได้รับการพัฒนาเพื่อเติมเต็มความต้องการที่หลากหลายและสร้างคุณค่าใหม่ให้ตลาดเอสยูวีอีกครั้ง โดดเด่นด้วยดีไซน์สปอร์ตสุดเท่ มีสไตล์ แข็งแกร่ง และให้ความรู้สึกพรีเมียม ทันสมัย ห้องโดยสารกว้างขวาง พร้อมเบาะนั่งด้านหลังแถว 2 ปรับพับได้ เพิ่มพื้นที่ใช้สอยอเนกประสงค์ แรงได้สุดสนุกได้ทุกเส้นทางด้วยเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร DOHC i-VTEC ผสานเกียร์อัตโนมัติ CVT ให้กำลังสูงสุด 121 แรงม้า ให้อัตราประหยัดน้ำมันที่ดี 16.7 กม./ลิตร รองรับพลังงานทางเลือก E20 ขับขี่ปลอดภัยมั่นใจด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ในทุกรุ่นย่อย และเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัยอื่น ๆ  มีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น RS ราคา 869,000 บาท และรุ่น SV ราคา 799,000 บาท

 

 

HYUNDAI

ฮุนไดสตาร์เกเซอร์ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร พร้อมระบบเกียร์ IVT ให้กำลังสูงสุด 115 แรงม้า ที่ 6,300 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 144 นิวตัน-เมตร การออกแบบตัวถังที่ลู่ลมและปราดเปรียว ช่วยให้ประหยัดน้ำมัน ขับขี่สนุกได้ดั่งใจทั้ง eco mode และ sport mode พร้อมด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูง อาทิ ระบบเตือนและเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่กลางเลน, ระบบป้องกันการเปิดประตูสไลด์เมื่อมีรถวิ่งมาด้านข้าง ที่ช่วยสนับสนุนผู้ขับขี่ได้ทุกเส้นทางไม่ว่าในเมือง -  หรือระยะทางไกล ฮุนได สตาร์เกเซอร์ จำหน่ายในราคา ดังนี้ รุ่นเทรนด์ ราคา 769,000 บาท, สไตล์ ราคา 829,000 บาท,  สมาร์ท 7 ราคา 869,000 บาท สมาร์ท 6 ราคา 889,000 บาท และรุ่นพิเศษ สมาร์ท 6 Black Roof ราคา 909,000 บาท

 

 

MAZDA

New Mazda MX-5 ยนตรกรรมสปอร์ตโรดสเตอร์เจเนอเรชั่นใหม่ล่าสุด สปอร์ตเปิดประทุนด้วยระบบไฟฟ้า มาพร้อมสีภายนอกใหม่ล่าสุด สีน้ำตาล เซอร์คอน แซนด์ สะท้อนภาพลักษณ์ความสปอร์ตหรูไปอีกขั้น เอาใจลูกค้าผู้หลงใหลความสปอร์ตระดับพรีเมี่ยม ที่ยังคงเอกลักษณ์การขับขี่ที่สนุกสนานเร้าใจ เสริมด้วยระบบควบคุมสมรรถนะการทรงตัวขณะเข้าโค้ง KPC (Kinematic Posture Control) ช่วยการยึดเกาะถนนให้แน่นหนึบยิ่งขึ้น พร้อมเทคโนโลยีความสะดวกสบายและความปลอดภัยครบครัน ปรับราคาจำหน่ายเพิ่มขึ้นเพียง 7,000 บาทเท่านั้น

 

 

MERCEDES-BENZ

พบกับ EQB 250 AMG Line เป็นครั้งแรกในประเทศไทย EQB 250 AMG Line รถพลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นใหม่ล่าสุด ภายใต้แบรนด์ Mercedes-EQ ผลิตและนำเข้าทั้งคันแบบ CBU มาพร้อมตัวถังในรูปแบบเอสยูวีที่ใช้แพลตฟอร์มเดียวกับรถ Compact SUV ของแบรนด์อย่าง GLB รองรับผู้โดยสาร 5 ที่นั่ง ใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยขุมพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ PSM ให้พละกำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 385 นิวตันเมตร และแบตเตอรี่แรงดันสูงความจุ 66.5 kWh มีระยะทางการขับขี่สูงสุด 460 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP รองรับการชาร์จแบบ DC สูงสุด 100 kW ใช้เวลาชาร์จไฟฟ้าจาก 10 - 80% เพียง 32 นาที สำหรับการชาร์จแบบ AC รองรับสูงสุด 11 kW ใช้เวลาชาร์จไฟฟ้าจาก 0 - 100% ประมาณ 6 ชั่วโมง 50 นาที โดยนอกจากความโดดเด่นจากการเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ในรูปแบบเอสยูวีแล้ว EQB 250 AMG Line ยังมีการออกแบบในสไตล์ AMG ทั้งภายนอกและภายใน พร้อมติดตั้งฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครอบคลุมทั้งความบันเทิงและความสะดวกสบายภายในรถ ระบบความปลอดภัยขั้นสูงรวมถึงระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่หลายรายการ ตอบโจทย์ผู้ที่มองหาเอสยูวีพลังงานไฟฟ้าในระดับลักชัวรี่ ที่มีทั้งความหรูหรา ความสปอร์ต ตามแบบฉบับของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในราคาที่เหมาะสม EQB 250 AMG Line วางจำหน่ายในราคา 3,020,000 บาท

 

Mercedes-AMG G 63 ยนตรกรรมสุดคลาสสิคในรูปแบบเอสยูวีขนาดใหญ่ ภายใต้แบรนด์ Mercedes-AMG โดดเด่นด้วยดีไซน์ที่ดุดันในสไตล์ G-Class พร้อมสมรรถนะที่ทรงพลังจากเครื่องยนต์เบนซิน V8 4.0 ลิตร 3,982 ซีซี Bi-Turbo ให้กำลังสูงสุด 585 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 850 นิวตันเมตร ติดตั้งเกียร์ AMG SPEEDSHIFT TCT อัตโนมัติแบบ 9 จังหวะ มีอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. เพียง 4.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 220 กม./ชม. พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AMG PERFORMANCE 4MATIC all-wheel drive ที่ทำให้รถยนต์คันนี้เป็นสุดยอดยนตรกรรมสำหรับการตะลุยเส้นทางแบบออฟโรดได้อย่างไร้ที่ติ Mercedes-AMG G 63 วางจำหน่ายในราคาเริ่มต้น 17,920,000 บาท

 

MG

NEW MG ES สเตชันวากอนไฟฟ้า 100% รุ่นใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “COMFORTABLE เป็นทุกอย่างเพื่อทุกโมเมนต์” สานต่อความมุ่งมั่น ในการนำเสนอยนตรกรรมคุณภาพที่ผสมผสานดีไซน์อันเรียบหรูดูล้ำสมัยในแบบฉบับ New Era Design พื้นที่ใช้สอยกว้างขวางพร้อมฟังก์ชันสุดครบครัน ขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าเจเนอเรชั่นใหม่ และความปลอดภัยเหนือชั้น เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เน้นไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ชูจุดขายในเรื่องดีไซน์ที่เรียบหรูทันสมัย พร้อมความสะดวกสบายและความอเนกประสงค์ที่มากยิ่งขึ้น

เอ็มจีย้ำภาพความเป็นผู้นำอีวีในไทย แนะนำรถไฟฟ้ารุ่นใหม่เสริมพอร์ตให้แข็งแกร่งและหลากหลาย มากยิ่งขึ้นกับ NEW MG ES รถสเตชันวากอนไฟฟ้า 100% ที่โดดเด่นด้วยพื้นที่กว้างขวางและฟังก์ชันที่เน้นความสะดวกสบาย กับประสบการณ์ใหม่ของการใช้รถไฟฟ้า ที่ตอบสนองมากกว่าแค่การใช้งานทั่วไป แต่สามารถเติมเต็มทุกโจทย์ความต้องการในทุกไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างได้อย่างลงตัว

NEW MG ES มาพร้อมแพลตฟอร์มระบบส่งกำลัง ใหม่ล่าสุด มีขนาดและน้ำหนักลดลง แต่ประสิทธิภาพสูงขึ้นถึง 53% ขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าเจเนอเรชั่นใหม่แบบ 8-LAYER HAIR PIN PERMANENT MAGNETIC SYNCHRONOUS MOTOR (PMSM) ให้พละกำลังสูงสุด 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร ซึ่งมอเตอร์แบบใหม่นี้ให้การตอบสนอง ที่ดีขึ้น โดยสามารถปรับเร่งรอบได้สูงถึง 15,000 รอบ/นาที ทำให้ NEW MG ES สามารถทำความเร็วสูงสุดได้มากถึง 185 กิโลเมตร/ชั่วโมง เสริมสร้างประสบการณ์การขับขี่ไปอีกระดับด้วยระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) ถึง 3 ระดับ ได้แก่ มาก ปานกลาง และน้อย เข้าโค้งได้อย่างมีประสิทธิภาพกับรัศมีวงเลี้ยวเพียง 5.95 เมตร

NEW MG ES มาพร้อมกับแบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอรอนฟอสเฟต (LFP) ความจุ 51 kWh มีการปรับปรุงให้มีน้ำหนักเบาลงถึง 22% และระบบ Liquid Cooling System ช่วยระบายความร้อนให้ทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ให้สมรรถนะในการขับเคลื่อนได้ไกลถึง 412 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC (NEW EUROPEAN DRIVING CYCLE) รองรับการชาร์จ ทั้งแบบ Quick Charge จาก 0% - 80% ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ที่ความเร็วสูงสุด 87 kW และ Normal Charge รองรับการชาร์จสูงสุดที่ 11 kW ใช้เวลาการชาร์จจาก 0% – 100% 7 ชั่วโมง 15 นาที ผ่าน MG HOME CHARGER ที่ 6.6 kW อีกทั้งยังรองรับระบบ V2L (Vehicle to Load) เปลี่ยนรถไฟฟ้าให้เป็นแหล่งจ่ายไฟไปยังอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ด้วยกำลังไฟสูงสุด 2,200 วัตต์ NEW MG ES ราคา 959,000 บาท

 

MINI

มินิ คูเปอร์ เอส คอนเวิร์ตทิเบิล รุ่น Resolute Edition รถยนต์เปิดประทุน 4 ที่นั่ง ถือเป็นรถเปิดประทุนระดับพรีเมียมที่มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใครในเซกเมนต์รถยนต์พรีเมียมคอมแพค พร้อมให้อารมณ์ขับสนุกในสไตล์เปิดประทุนที่เป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของมินิ สมรรถนะทรงพลังที่พร้อมเผชิญทุกเส้นทางท่ามกลางสายลมและแสงแดด ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร ให้พละกำลังที่ 141 กิโลวัตต์ / 192 แรงม้า เสริมด้วยเทคโนโลยี MINI TwinPower Turbo ช่วยให้เร่งความเร็วจาก 0 - 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 7.1 วินาที ให้อารมณ์ขับสนุกเหมือนโลดแล่นอยู่ในสนามแข่ง สีหลักของรุ่น Resolute Edition อย่างการไล่เฉดสีจากอ่อนไปเข้ม เข้ากันเป็นอย่างดีกับตัวถังภายนอกสีเขียว Rebel Green เสริมความสปอร์ตดุดันด้วยล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ลาย Pulse Spoke สีดำ และเบาะนั่งโดยสารทรงสปอร์ต MINI Yours Leather Lounge ในสีดำ Carbon Black เพื่อประสบการณ์การเดินทางที่ให้ความรู้สึกสปอร์ตและสะดวกสบายในขณะเดียวกัน ราคา 3,090,000 บาท

 

มินิ คูเปอร์ เอสอี ยนตรกรรมขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างสมบูรณ์แบบ ถือเป็นตัวแทนของการผสานการขับขี่สไตล์โกคาร์ทกับเทคโนโลยีการขับขี่ที่ล้ำสมัย มุ่งสู่การขับขี่ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ อันเป็นหัวใจของรถมินิในอนาคต มินิ คูเปอร์ เอสอี รุ่น Resolute Edition สีขาว Nanuq White ที่มาพร้อมความหรูหราแต่ยังมีกลิ่นอายความสปอร์ต ให้สนุกกับการขับขี่ได้ไกลกว่าที่เคยและเป็นมากกว่าการขับขี่ในตัวเมือง ด้วยระยะขับขี่ 217 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC และสมรรถนะอันโดดเด่น โดยมีพละกำลังสูงสุด 135 กิโลวัตต์ / 184 แรงม้า มอบแรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตร สามารถโลดแล่นจาก 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงภายในเวลา 7.3 วินาที มีอัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าอยู่ที่ 47 กิโลวัตต์-ชั่วโมง/100 กิโลเมตร และมอบความเร็วสูงสุดที่ 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพิ่มลูกเล่นความปราดเปรียวด้วยล้ออัลลอยน้ำหนักเบาขนาด 17 นิ้ว ลาย MINI Electric Collection Spoke ที่มาเป็นมาตรฐานพร้อมกับรถ ต้อนรับเหล่านักขับขี่ด้วยเบาะนั่งทรงสปอร์ต มอบความสะดวกสบายด้วยที่พักแขนและแผ่นรองหัวเข่า จากเบาะผ้า Light Chequered สี Black Pearl หุ้มด้วยหนัง พร้อมให้ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารเพลิดเพลินกับการเดินทางทั้งระยะสั้นและทางไกล ราคา 2,469,000 บาท

 

มินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ 3 ประตู รุ่น Resolute Edition ในสี Enigmatic Black ซึ่งผสานกันอย่างลงตัวแสดงถึงความมั่นใจและความทันสมัยอันน่าค้นหา เพิ่มสุนทรียภาพในการขับขี่ไปอีกระดับ ด้วยเครื่องยนต์ 4 สูบขนาด 2 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี MINI TwinPower Turbo ที่ให้กำลังสูงสุด 141 กิโลวัตต์ / 192 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร เร่งความเร็วสูงสุดจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายในเวลาเพียง 6.7 วินาที ทำความเร็วได้สูงสุดกว่า 235 กิโลเมตร/ชั่วโมง เกียร์ 7 สปีด Steptronic พร้อมคลัตช์คู่ เพิ่มความมีสไตล์มากขึ้นด้วยตัวเลือกสีหลังคาและฝาครอบกระจกข้างที่มีทั้งสีดำ สี Enigmatic Black และสี Pepper White รองรับเป็นตัวเลือก ภายในรถยังมีเบาะนั่งทรงสปอร์ต MINI Yours Leather Lounge ที่มาพร้อมที่พักแขนและเบาะรองเข่าสีดำ Carbon Black ราคา 2,919,000 บาท

 

MITSUBISHI

มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส ใหม่ รถยนต์เอสยูวี 7 ที่นั่ง โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ใหม่ สไตล์โฉบเฉี่ยว สะท้อนความหรูหราผสานดีไซน์สปอร์ตทั้งภายนอกและภายใน ตอบโจทย์ครบทุกความต้องการของครอบครัวยุคใหม่ และผู้ขับขี่ที่รักการผจญภัยและออกทริปเอาท์ดอร์ ด้วยฟังก์ชั่นระบบการขับขี่สุดล้ำสมัยที่เหนือกว่ารถในรุ่นเดียวกัน อย่างเทคโนโลยีความปลอดภัยใหม่ “เอวายซี” (Active Yaw Control: AYC) ให้ความปลอดภัย เสถียรภาพการทรงตัว และความสะดวกสบายสูงสุด ในหลากหลายสภาพถนนและสภาพอากาศที่แตกต่าง

มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส ใหม่ มาพร้อมขุมพลังขับเคลื่อนของมิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส ใหม่ เป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ MIVEC DOHC 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 141 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที พร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ ECO-Dynamic CVT ตอบสนองการทำงานกับเครื่องยนต์อย่างรวดเร็ว นุ่มนวล และประหยัดน้ำมัน มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส ใหม่ ราคา 946,000 บาท ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นเพียง 7,000 บาทจากรุ่นเดิม

 

NISSAN

นิสสัน เทอร์ร่า สปอร์ต รถยนต์อเนกประสงค์สำหรับทุกรูปแบบและสมาชิกในครอบครัว เสริมความสปอร์ตพรีเมียม มาพร้อมชุดตกแต่งด้วยวัสดุโทนสีดำรอบคัน ทั้งภายใน และภายนอก เหนือระดับด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงรอบคัน 360° Safety Shield ให้ทุกการเดินทางสู่จุดหมายอย่างปลอดภัย เสริมความสุนทรีย์ภาพและความเพลิดเพลินด้วยระบบเอนเตอร์เทนเมนต์ และเครื่องเสียงระดับพรีเมียมจาก BOSE รอบคัน ตอบทุกนิยามของการใช้งานที่ “คันเดียวจบ ครบเกินคุ้ม”

นิสสัน เทอร์ร่า มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล YS23DDTT ขนาด 2.3 ลิตร ทวินเทอร์โบ มีกำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร และเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ให้การขับขี่นุ่มนวลแต่ทรงพลัง และประหยัดน้ำมัน ทั้งยังสามารถรองรับน้ำมันดีเซลได้ทุกชนิดทั้ง B7, B10 และ B20 ด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เทอร์ร่าสามารถไปได้ในทุกเส้นทาง โดยผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนโหมดขับเคลื่อนจากสองล้อ (2H) เป็นโหมดขับเคลื่อนสี่ล้อได้ผ่าน Rotor Switch ที่บริเวณแผงคอนโซลกลาง  การควบคุมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนังรูปทรง D-shape แบบสปอร์ต ได้ปรับปรุงใหม่ให้สามารถควบคุมตัวรถได้อย่างง่ายดาย และปลอดภัยมากขึ้น ระบบช่วงล่างด้านหลังแบบ 5 ลิงค์ (5-Link) ที่นุ่มนวล และลดความโคลงของตัวรถขณะเข้าโค้ง และการทรงตัวที่ดีและมั่นใจนี้จะทำให้ผู้ขับขี่และทุกคนในครอบครัวจึงเดินทางได้อย่างสบายใจ ราคา 1,555,000 บาท

 

ROLLS-ROYCE

Rolls-Royce Black Badge Ghost ยนตรกรรมสำหรับผู้ไม่เคยตามใคร สวยสะกดใจแบบทูโทนสะดุดตากับสีตัวถังแบบทูโทน คือ เทา Anthracite ตัดกับ ดำ Black Diamond ขณะที่สัญลักษณ์นางฟ้า หรือ Spirit of Ecstasy รวมถึงกระจังหน้า คิ้วขอบกระจก และปลายท่อไอเสียเป็นโครเมียมรมดำ ซึ่งผ่านกรรมวิธีการชุบโลหะด้วยกระแสไฟฟ้า ผสานขั้นตอนการชุบแบบดั้งเดิมบนชิ้นงานสเตนเลส ส่งผลให้ได้พื้นผิวที่มีสีเข้ม ลงตัวกับล้อแม็กขอบ 21 นิ้ว ผลิตจากวัสดุคาร์บอนคอมโพสิต ซึ่งติดตั้งกับ โรลส์-รอยซ์ แบล็กแบดจ์ เท่านั้น

ขับเคลื่อนแบบ ‘Effortless’ ด้วยเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ วี12 สูบ 6.75 ลิตร ปรับแต่งอีซียูใหม่ มีกำลัง 600 แรงม้า (เพิ่มจากรุ่นพื้นฐาน 27 แรงม้า) แรงบิด 900 นิวตันเมตร (เพิ่มขึ้น 50 นิวตันเมตร) ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ของ ZF ที่ได้รับการพัฒนาให้รองรับการขับแบบสปอร์ต พร้อมปรับปรุงระบบกันสะเทือนและระบบเบรกให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ปิดท้ายด้วยชุดท่อไอเสียแบบสปอร์ตที่ให้เสียงอันเป็นเอกลักษณ์ ในแบบฉบับของตระกูล แบล็กแบดจ์ เท่านั้น

ภายในห้องโดยสารได้ผ่านการคัดสรรวัสดุอย่างพิถีพิถัน เบาะหนังสีดำ ตัดกับสีฟ้า Turchese อย่างลงตัว พร้อมติดตั้งโลโก้สัญลักษณ์ ‘Infinity’ ที่มีเฉพาะสายพันธุ์ แบล็กแบดจ์ บริเวณนาฬิกา เบาะหลัง และกาบบันได ขณะที่แดชบอร์ดติดตั้ง ‘Technical Fiber Veneer’ ที่เกิดจากการนำเส้นใยคาร์บอนและเส้นใยโลหะ มาถักทอด้วยมือเป็นลายข้าวหลามตัด เคลือบด้วยน้ำยาเรซินให้ดูแวววาวแบบ 3 มิติ

 

Rolls-Royce Cullinan ยนตรกรรม high body เอสยูวี ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เป็นรถยนต์ที่ให้คำจำกัดความการเดินทางอย่างหรูหราที่สุด อีกทั้งยังเป็นสุดยอดแห่งการ 'ขับสบาย' ไม่ว่าเส้นทางจะสมบุกสมบันแค่ไหน บ่งบอกไลฟ์สไตล์แบบซูเปอร์ลักชัวรี่ รูปลักษณ์ดูสุขุมด้วยตัวถังสีดำ Black Diamond ตัดกันกับความสดใสของห้องโดยสารแบบ Bespoke กับเบาะหนังแท้สีส้ม Mandarin และสีดำ

ขับเคลื่อนอย่างนุ่มนวล ราวกับล่องลอยอยู่บนพรมวิเศษ (Magic Carpet Ride) ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ โรลส์-รอยซ์ ก็ยังมีให้สัมผัสแม้ขับบนเส้นทางออฟ-โรด เป็นผลจากการใช้โครงสร้างตัวถังแบบใหม่ที่เบาลง, ช่วงล่างถุงลมขนาดใหญ่ จุอากาศได้มาก ดูดซับแรงสะเทือนได้ดี, การเสริมความแข็งแกร่งให้เพลาขับ, ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ อันทรงประสิทธิภาพ และพละกำลังมหาศาลจากเครื่องยนต์เบนซิน วี12 สูบ 6.75 ลิตร ทวินเทอร์โบ 563 แรงม้า (HP) แรงบิด 850 นิวตันเมตร ที่รอบต่ำเพียง 1,600 รอบ/นาที ส่งผลให้ ‘คัลลิแนน’ สามารถนำพาผู้โดยสาร ทะยานสู่จุดหมายเหนือจินตนาการ อย่างที่ไม่เคยมี โรลส์-รอยซ์ รุ่นใดเคยทำได้

 

SUZUKI

SUZUKI SWIFT GL NEXT - NEXT to the edge ขับสนุกเต็มขั้น เร้าใจเกินพิกัด ตกแต่งด้วยชุดแต่ง GL NEXT ดีไซน์ใหม่ ชุดสเกิร์ตรอบคัน บ่งบอกถึงความพิเศษและเป็นเอกลักษณ์ด้วยชุดสติกเกอร์ลายใหม่ GL NEXT Edition ที่จะถ่ายทอดทุกความเร้าใจให้คุณสัมผัสได้ถึงความแตกต่าง ยกระดับการดีไซน์ภายในกับการตกแต่งใหม่ด้วยลายเคฟลาร์ ตรงบริเวณคอนโซลและแผงประตูด้านข้าง พร้อมปรับใหม่ จอระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว  เครื่องเล่นวิทยุที่สามารถรองรับการเล่นไฟล์ MP3, WMA เติมเต็มความบันเทิงในการขับขี่ พร้อมระบบเชื่อมต่อ Bluetooh และเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน ทำให้คุณไม่พลาดทุกการติดต่อตลอดการเดินทาง

SUZUKI SWIFT GL NEXT รุ่นนี้ คงไว้ซึ่งเอกลักษณ์อันโดดเด่น พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันทรง D-Shape จับกระชับมือเพิ่มพื้นที่วางขาและปรับระดับได้ 4 ทิศทาง เบาะนั่งโอบกระชับสรีระ เครื่องยนต์รหัส K12M แบบเบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.2 ลิตร หัวฉีดคู่หรือ DUALJET ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ด้วยกำลังสูงสุด 83 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 108 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติ CVT พร้อมรองรับน้ำมันเชื้อเพลิงประเภท E20 ประหยัดเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยกว่า 23 กิโลเมตร/ลิตร SUZUKI SWIFT GL NEXT ราคาเริ่มต้น 582,000 - 587,000 บาท