โตโยต้าคาดยอดขายปีขาล 284,000 คัน

เตรียมส่งรถพลังงานไฟฟ้ารุกตลาด

มร. โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แถลงสถิติการจำหน่ายรถยนต์ปี 2564 พร้อมคาดการณ์ตลาดรถยนต์ไทยปี 2565 เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2565 ในการแถลงข่าวผ่านช่องทางออนไลน์

 

มร. ยามาชิตะ กล่าวว่า “ปี 2564 ถือเป็นอีกปีที่เศรษฐกิจและสังคมไทยเผชิญความท้าทายจากสถานการณ์โควิด-19 อย่างไรก็ตาม จากความมุ่งมั่นพยายามของภาครัฐและบุคลากรทางการแพทย์ เราเชื่อว่าสถานการณ์กำลังจะก้าวเข้าสู่ภาวะคลี่คลาย ในส่วนของโตโยต้า เรายังคงเดินหน้าให้การสนับสนุนผ่านโครงการ ‘โตโยต้าเคียงคู่ไทย สู้ภัยโควิด-19’ โดยผนึกกำลังความร่วมมือกับผู้แทนจำหน่ายและผู้ผลิตชิ้นส่วนทั่วประเทศในการมอบรถยนต์ โตโยต้าและสิ่งของจำเป็นให้กับหน่วยงานราชการและบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า โดยเรามุ่งหวังที่จะก้าวข้ามผ่านความท้าทายครั้งนี้ไปด้วยกัน”

 

โตโยต้ากับกลยุทธ์ในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน

มร. ยามาชิตะ เผยว่า “ก่อนอื่นผมขอเล่าให้ฟังถึงกลยุทธ์ของโตโยต้าในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน อย่างที่ทุกท่านทราบกันดีว่าโตโยต้ามุ่งมั่นที่จะสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนให้สำเร็จภายในปี 2593 โดยเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2564 คุณอากิโอะ โตโยดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ได้ประกาศไว้ว่าโตโยต้ามีกลยุทธ์มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือกลยุทธ์ด้านยานยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ ท่านได้ประกาศไว้ว่าโตโยต้าจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ครบทั้ง 30 รุ่น ภายในปี 2573 โดยรวมไปถึงรถซีรีส์ bZ จำนวน 5 โมเดล ซึ่งมาพร้อมกับแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นมาสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่โดยเฉพาะ โตโยต้ามุ่งมั่นที่จะขายรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ให้ได้ทั้งสิ้น 3.5 ล้านคัน ภายในปี 2573 ทั้งนี้ โตโยต้าทุ่มเงินลงทุน 1.2 ล้านล้านบาท เพื่อพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ โดยที่เงิน 0.6 ล้านล้านบาท นั้นเป็นการลงทุนด้านแบตเตอรี่ และยังลงทุนอีก 1.2 ล้านล้านบาท สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริด รถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้าแบบเซลล์เชื้อเพลิง ภายในปี 2573”

 

 

“เรายังเชื่อมั่นว่าหากเราสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนได้สำเร็จ ก็แปลว่าเราได้สร้างโลกใบที่ทุกคนที่อาศัยอยู่นั้นสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุข เราอยากมีส่วนช่วยสร้างโลกแบบนั้นให้เกิดขึ้นจริง อย่างไรก็ตาม เราอาศัยอยู่บนโลกที่มีความแตกต่างหลากหลาย อีกทั้งยังอยู่ในยุคสมัยที่คาดเดาอนาคตได้ยาก ดังนั้นการตอบโจทย์ความต้องการของทุกคนให้ได้อย่างครบถ้วนด้วยตัวเลือกที่มีเพียงหนึ่งเดียวนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่าย โตโยต้าจึงมุ่งเตรียมความพร้อมเพื่อนำเสนอตัวเลือกให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั่วโลก ด้วยแนวทางนี้ทำให้โตโยต้าสามารถบรรลุเป้าหมายของเราในการสร้าง ‘รถยนต์ที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและลดการปล่อยคาร์บอน’ และสอดคล้องกับจุดยืนในการสร้างสรรค์ ‘การขับเคลื่อนสำหรับทุกคน’ และ ‘ไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง’”

 

มร. ยามาชิตะ กล่าวว่า “ในประเทศไทยนั้น โตโยต้าเป็นผู้ริเริ่มแนะนำเทคโนโลยีด้านยานยนต์ไฟฟ้ามาตั้งแต่ปี 2552 โดยครองส่วนแบ่งการตลาดอยู่ถึง 80% และมีการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าของโตโยต้ามากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน เราสามารถลดคาร์บอนไดออกไซด์ลงไปได้ 148,000 ตัน ซึ่งเท่ากับการปลูกต้นไม้ 2 ล้านต้น อีกทั้งในปีที่แล้ว เรายังได้ทำการแนะนำ เลกซัส UX300e ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ และ เลกซัส NX450h+  ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด สำหรับแบรนด์โตโยต้า เรามีแผนที่จะทำการแนะนำ bZ4X ซึ่งถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของซีรีส์ bZ ออกสู่ตลาดภายในปีนี้  ยิ่งไปกว่านั้น เราจะพยายามส่งเสริมให้มีการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศให้มากยิ่งขึ้น เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตหลักสำหรับการประกอบรถยนต์ไฟฟ้าอีกหลากหลายรุ่นต่อไปในอนาคต ซึ่งความมุ่งมั่นดังกล่าวสอดคล้องกับแนวทางของภาครัฐที่มุ่งเดินหน้าส่งเสริมการใช้พลังงานไฟฟ้า การพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ตลอดจนการบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอนให้เป็นศูนย์ นอกจากนี้ เรายังได้มีการประสานความร่วมมือกับองค์กรพันธมิตรที่มีเป้าหมายเดียวกัน เพื่อพยายามผลักดันการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนโดยครอบคลุม ‘ตลอดทั้งวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์’ ยกตัวอย่างเช่น ‘โครงการพัฒนาเมืองต้นแบบที่ยั่งยืนโดยปราศจากมลภาวะ’ ซึ่งเราจะสาธิตให้เห็นถึงการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าหลากหลายประเภทในการเดินทางคมนาคม ภายในเมืองพัทยา และเราได้เริ่มต้นศึกษาความเป็นไปได้ในการริเริ่มใช้โครงสร้างพื้นฐานพลังงานสะอาด เช่น ไฮโดรเจน พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานชีวภาพ ใน ‘นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด’ อีกด้วย”

 

สถิติการขายรถยนต์ในปี 2564

มร. ยามาชิตะ กล่าวว่า “อย่างที่ทุกท่านทราบกันดีว่าปี 2564 เป็นปีที่สถานการณ์โรคโควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเกิดปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนการผลิต เช่น ปัญหาชิปขาดตลาด ด้วยเหตุนี้ ยอดขายรวมภายในประเทศจึงอยู่ที่ราว 759,119  คัน หรือลดลง 4.2% เมื่อเทียบกับปี 2563”

มร. ยามาชิตะ เผยถึงยอดขายของโตโยต้าในปีที่ผ่านมาว่า “สำหรับยอดขายของโตโยต้าในปี 2564 นั้น ยอดขายรวมของเราอยู่ที่ประมาณ 239,723 คัน หรือลดลง 1.9% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และเรายังคงครองส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 หรือเท่ากับ 31.6% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด ซึ่งหากว่ากันตามตรง ถือว่าต่ำกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ แต่ถ้าเราดูยอดขายของปีที่แล้วจะเห็นได้ว่าสถานการณ์ของเราเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นมา สืบเนื่องมาจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้น ตลอดจนการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตแบบใหม่ เช่น การขายผ่านช่องทางออนไลน์ ถ้าเราลองดูที่ยอดขายของโตโยต้าในระหว่างช่วงไตรมาสที่ 2 ถึงไตรมาสที่ 4 จะเห็นได้ว่าส่วนแบ่งทางการตลาดของเราอยู่ที่ 32.5% ซึ่งเป็นระดับที่ไกล้เคียงกับในปี 2562 หรือช่วงก่อนที่โรคโควิด-19 จะระบาด โดยในส่วนของยอดขายของไฮลักซ์ รีโว่ นั้น มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 39.1% ซึ่งสูงกว่าของปี 2562 ในขณะที่ เอทีฟ และ ยาริส นั้น ก็สามารถครองอันดับ 1 ในตลาดรถอีโคคาร์"

 

“ในส่วนของตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ โตโยต้ามียอดขายรวมทั้งปีเป็นอันดับ 1 ถึง 2 ปีซ้อน ด้วยยอดขายที่สูงเป็นประวัติการณ์ของโคโรลลา ครอส ส่วนฟอร์จูนเนอร์เองก็มียอดขายเป็นอันดับ 1 ในตลาดรถกระบะดัดแปลงต่อเนื่องมาเป็นเวลา 10 ปี ในขณะเดียวกัน คัมรี ก็ครองอันดับ 1 ในตลาดรถยนต์ขนาดกลาง ส่วนไฮเอซก็ครองอันดับ 1 ตลอดกาลเช่นกันสำหรับในตลาดรถตู้ ซึ่งเราขอแสดงความขอบคุณต่อลูกค้าคนสำคัญและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านที่ได้สนับสนุนเราเป็นอย่างดีเสมอมา”

แนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปี 2565

มร. ยามาชิตะ กล่าวถึงแนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปี 2565 ว่า “เป็นไปได้ว่าโควิด-19 จะยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย อย่างไรก็ดี เราคาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะกลับคืนสู่สภาวะปกติอย่างค่อยเป็นค่อยไปพร้อมๆ กับการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจโดยรวมทั้งหมด นอกจากนี้ ประชาชนเองก็เรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสถานการณ์โรคโควิด-19 ให้ได้อย่างปลอดภัยแล้ว ส่วนปัญหาชิ้นส่วนการผลิตขาดตลาดก็จะค่อย ๆ คลี่คลายลงเช่นกัน เราคาดหวังว่าอุตสาหกรรมยานยนต์จะกลับคืนสู่สภาวะปกติและคาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ในปี 2565 จะอยู่ที่ 860,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 13.3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว”

มร. ยามาชิตะ กล่าวเสริมว่า “สำหรับโตโยต้า เราตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 284,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 18.5% โดยครองส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 33%” 

ปริมาณการส่งออกรถยนต์และการผลิตของโตโยต้าในปี 2564           

"ในด้านการส่งออกรถยนต์ ในปี 2564 โตโยต้าได้ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปไปราว 292,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 35.5% จากปี 2563 โดยยอดรวมการผลิตรถยนต์สำหรับการขายภายในประเทศและการส่งออกในปี 2564 มีจำนวนทั้งสิ้น 514,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 16.1% จากปี 2563" 

เป้าหมายการส่งออกรถยนต์และการผลิตของโตโยต้าในปี 2565

"สำหรับเป้าหมายการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปของโตโยต้าในปีนี้ เราคาดว่าความต้องการของตลาดต่างประเทศจะเพิ่มสูงขึ้น โดยเราตั้งเป้าปริมาณการส่งออกรถยนต์อยู่ที่ 371,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 27.2% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และเราตั้งเป้าการผลิตรถยนต์ทั้งหมดของปี 2565 อยู่ที่ ราว 647,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 25.9% จากปีที่ผ่านมา" 

 

ทิศทางการดำเนินธุรกิจของโตโยต้าในประเทศไทย          

มร.ยามาชิตะ กล่าวถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจของโตโยต้าในประเทศไทยว่า “ปีนี้เป็นปีที่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาครบ 60 ปี และเรากำลังเตรียมพร้อมก้าวเข้าสู่อนาคตที่สดใสยิ่งขึ้น พร้อมปรับเปลี่ยนตัวเราเองสู่การ ‘เป็นผู้นำพาการขับเคลื่อนยุคใหม่เพื่อเสริมสร้างความสุขของผู้คน และความยั่งยืนของสังคม’ เราขอให้คำมั่นว่าจะมอบความสุขให้กับประชาชนชาวไทยและ ‘เติบโตเคียงคู่ไปกับสังคมไทย’ ผ่านการนำเสนอยานยนต์เพื่อการขับเคลื่อน ตลอดจนบริการและโซลูชั่นส์ต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการขับเคลื่อนด้วยเช่นกัน โดยเราได้ออกแบบโลโก้ฉลองครบรอบ 60 ปีที่มาพร้อมกับแท็กไลน์ ‘Move Your World’ หรือในภาษาไทยคือ ‘ร่วมขับเคลื่อนอนาคต’ เพื่อสะท้อน ‘พลังและการขับเคลื่อนไปข้างหน้า’ แสดงให้เห็นว่าในอนาคต โตโยต้าจะนำเสนอยานยนต์พลังงานไฟฟ้าเพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ตลอดจนสร้างสรรค์เทคโนโลยีการเชื่อมต่อเพื่อให้ลูกค้าได้รับการบริการที่ยอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบ”

 

 

“ด้วยความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิต และส่งเสริมความสุขที่ยั่งยืนให้กับประเทศไทย เรายังจะร่วมเสริมสร้างสังคมและสิ่งแวดล้อมโดยสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โตโยต้าจะเดินหน้าผลักดันภารกิจของเราในการขับเคลื่อนสังคมไทยสู่ ‘ยุคแห่งการพัฒนาอย่างยั่งยืน’ ผ่านการดำเนินงานหลักในด้านต่าง ๆ ภายใต้กรอบของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งหมดนี้เราอยากขอแสดงความขอบคุณจากใจจริงอีกครั้งต่อภาครัฐ ลูกค้าผู้มีอุปการคุณ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านที่ได้สนับสนุนเราอย่างดีตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา” มร. ยามาชิตะ กล่าวในท้ายที่สุด

 

 

ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ เดือนธันวาคม 2564

1. ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 91,010 คัน ลดลง 12.6%

อันดับที่ 1 โตโยต้า 27,150 คัน ลดลง 18.2% ส่วนแบ่งตลาด 29.8%

อันดับที่ 2 อีซูซุ 18,801 คัน ลดลง 18.0% ส่วนแบ่งตลาด 20.7%

อันดับที่ 3 ฮอนด้า 11,556 คัน เพิ่มขึ้น 14.7% ส่วนแบ่งตลาด 12.7%

2. ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 31,917 คัน ลดลง 16.3%

อันดับที่ 1 ฮอนด้า  8,763 คัน เพิ่มขึ้น 4.6% ส่วนแบ่งตลาด 27.5%

อันดับที่ 2 โตโยต้า 7,347 คัน ลดลง 16.6% ส่วนแบ่งตลาด 23.0%

อันดับที่ 3 ซูซูกิ 2,776 คัน ลดลง  14.8% ส่วนแบ่งตลาด  8.7%

3. ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 59,093 คัน ลดลง 10.4%

อันดับที่ 1 โตโยต้า 19,803 คัน ลดลง 18.8% ส่วนแบ่งตลาด 33.5%

อันดับที่ 2 อีซูซุ 18,801 คัน ลดลง 18.0% ส่วนแบ่งตลาด 31.8%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด 4,117 คัน   ลดลง 10.4% ส่วนแบ่งตลาด  7.0%

4. ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV) ปริมาณการขาย 42,785 คัน ลดลง 16.9%

อันดับที่ 1 อีซูซุ 16,908 คัน ลดลง 21.6% ส่วนแบ่งตลาด 39.5%

อันดับที่ 2 โตโยต้า 16,733 คัน ลดลง  16.8% ส่วนแบ่งตลาด 39.1%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด 4,117 คัน ลดลง  10.4% ส่วนแบ่งตลาด  9.6%

ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน: 6,280 คันโตโยต้า 2,459 คัน – อีซูซุ 1,990 คัน – มิตซูบิชิ872 คัน – ฟอร์ด 707 คัน – นิสสัน 252 คัน

5. ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 36,505 คัน ลดลง 17%

อันดับที่ 1 อีซูซุ 14,918 คัน  ลดลง 20.5% ส่วนแบ่งตลาด 40.9%

อันดับที่ 2 โตโยต้า 14,274 คัน ลดลง  18.0% ส่วนแบ่งตลาด 39.1%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด 3,410 คัน ลดลง  8.8% ส่วนแบ่งตลาด  9.3%

 

สถิติการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมกราคม ธันวาคม 2564

1. ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 759,119 คัน ลดลง 4.2%

อันดับที่ 1 โตโยต้า 239,723 คัน ลดลง  1.9% ส่วนแบ่งตลาด 31.6%

อันดับที่ 2 อีซูซุ 184,160 คัน เพิ่มขึ้น 1.6% ส่วนแบ่งตลาด 24.3%

อันดับที่ 3 ฮอนด้า 88,692 คัน ลดลง  4.7% ส่วนแบ่งตลาด 11.7%

2. ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 251,800 คัน ลดลง 8.4%

อันดับที่ 1 ฮอนด้า 76,886 คัน ลดลง 0.7% ส่วนแบ่งตลาด 30.5%

อันดับที่ 2 โตโยต้า 62,403 คัน ลดลง  8.4% ส่วนแบ่งตลาด 24.8%

อันดับที่ 3 มาสด้า 19,800 คัน ลดลง  20.3% ส่วนแบ่งตลาด  7.9%

3. ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 507,319 คัน ลดลง 1.9%

อันดับที่ 1 อีซูซุ 184,160 คัน เพิ่มขึ้น 1.6% ส่วนแบ่งตลาด 36.3%

อันดับที่ 2 โตโยต้า 177,320 คัน เพิ่มขึ้น 0.7% ส่วนแบ่งตลาด 35.0%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด 32,329 คัน เพิ่มขึ้น 8.3% ส่วนแบ่งตลาด  6.4%

4. ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV) ปริมาณการขาย 393,476 คัน ลดลง 3.9%

อันดับที่ 1 อีซูซุ 167,180 คัน ลดลง 0.8% ส่วนแบ่งตลาด 42.5%

อันดับที่ 2 โตโยต้า 151,501 คัน เพิ่มขึ้น 1.2% ส่วนแบ่งตลาด 38.5%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด 32,329 คัน เพิ่มขึ้น 8.3% ส่วนแบ่งตลาด  8.2%

ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน : 52,024 คัน โตโยต้า 22,862 คัน – อีซูซุ 16,439 คัน – มิตซูบิชิ 6,619 คัน – ฟอร์ด 5,025 คัน –  นิสสัน 1,079 คัน

5. ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 341,452 คัน ลดลง 6.4%

อันดับที่ 1 อีซูซุ 150,741 คัน ลดลง  6.0% ส่วนแบ่งตลาด 44.1%

อันดับที่ 2 โตโยต้า 128,639 คัน ลดลง 1.0% ส่วนแบ่งตลาด 37.7%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด 27,304 คัน เพิ่มขึ้น 11.4% ส่วนแบ่งตลาด  8.0%