คุยหลังขับ ALL NEW MG3 HYBRID+
สเปกไทย กับบทสรุป 4 เรื่องที่น่าสนใจ
ก่อนเปิดราคาอย่างเป็นทางการ…
โดย : กันต์ เย็นสบาย
เรียกได้ว่าเป็นการเดินหน้านำเสนออีกทางเลือกใหม่ให้คนไทยในตลาด B-Segment กับการเปิดตัว รถยนต์ไฮบริดเทคโนโลยีใหม่จาก เอ็มจี ที่มีเป้าหมาย เจาะกลุ่มลูกค้ายุคใหม่ ชูจุดเด่นรถยนต์พลังงานทางเลือกที่แตกต่างไม่เหมือนใครกับโกลบอลดีไซน์ที่ดูปราดเปรียวขึ้น พร้อมขุมพลังไฮบริด HYBRID+ ที่ผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน และมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งครั้งนี้เป็นการทำความรู้จักและทดสองขับแบบ 1 วันเต็ม ๆ ครับ ด้วยน้ำมันหนึ่งถัง บนเส้นทางจากกรุงเทพฯ ไปแอ่วเหนือ ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อพิสูจน์สมรรถนะของรถรุ่นนี้แบบใช้งานจริง ก่อนที่ทาง เอ็มจี จะมีกำหนดการเปิดราคาจัดจำหน่ายของ ALL NEW MG3 HYBRID+ อย่างเป็นทางการภายในเดือนสิงหาคมนี้ และนี่คือบทสรุป 4 เรื่องที่น่าสนใจของรถรุ่นนี้ครับ…
1. เป็นรถโกลบอลโมเดลรุ่นที่ 2 จากไลน์การผลิตในประเทศไทย
MG3 HYBRID+ โมเดลนี้ นับเป็นรถโกลบอลโมเดลรุ่นที่ 2 ที่เตรียมส่งมอบจากไลน์การผลิตในประเทศไทย หลังจาก MG3 เจนเนอเรชั่นที่ 1 ถูกเปิดตัวครั้งแรก ย้อนไปเมื่อช่วงต้นปี 2558 ด้วยภาพลักษณ์ทั้งเรื่องดีไซน์ และสมรรถนะของเกียร์แบบ AMT ระบบเกียร์แบบอัตโนมัติ 5 สปีด SeleMatic (เซเลเมติก)
ทาง เอ็มจี มีการปรับปรุงงานดีไซน์จนเรียกได้ว่าเป็น “บิ๊กไมเนอร์เชนจ์” MG3 ทั้งภายนอก-ภายใน อีกครั้ง ในปี 2561 ด้วยการนำเอาแนวคิดการออกแบบที่ใช้กับ MG ZS มาใช้ในรถรุ่นนี้ด้วย ทำให้มันดูสวยลงตัวและร่วมสมัยมากขึ้น สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในรถ MG นั่นก็คือ หลังคาซันรูฟ เปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า และสีสันตัวรถในสไตล์ทูโทน
ส่วน MG3 HYBRID+ เจนเนอเรชั่นที่ 2 อย่างเป็นทางการในไทย โมเดลนี้ ทางเอ็มจี ยังเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายยุคใหม่ ที่ต้องการรถยนต์พลังงานทางเลือกที่แตกต่างไม่เหมือนใคร
2. ขุมพลังใหม่ รวมทุกระบบไฮบริดไว้ในคันเดียว พร้อมเกียร์ไฟฟ้าแบบ E-AT
ตัวเลขเคลมจากโรงงาน กับ อัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 8.0 วินาที ความเร็วสูงสุด Top Speed 170 km/h น้ำมัน 1 ถัง วิ่งได้ไกลกว่า 800 กิโลเมตร (เฉลี่ยใช้งานจริง 22.22 km/l) จากการทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว DVVT 102 แรงม้า (75 กิโลวัตต์) และมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ High-performance Permanent Magnet Synchronous Motors กำลังสูงสุด 136 แรงม้า (100 กิโลวัตต์) ให้ขุมพลังรวมสูงสุดถึง 194 แรงม้า (143 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร รองรับน้ำมัน E20
แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาดใหญ่ ในรูปแบบ Cell-To-Pack ความจุ 1.83 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งมีความจุมากที่สุดในรถขนาดเดียวกัน และระบบส่งกำลัง Hybrid Transmission ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ไฟฟ้าแบบ E-AT 3 อัตราทดเกียร์ ปรับการทำงานแบบอัตโนมัติ ให้จังหวะการเปลี่ยนเกียร์ที่เหมาะสม ลดเสียงรบกวน และประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น น้ำมันหนึ่งถังสามารถไปได้ไกลกว่า 800 กิโลเมตร รวมทั้งเทคโนโลยีไฮบริดใหม่ล่าสุดจาก เอ็มจี ด้วย 8 โหมดการขับเคลื่อนของระบบ HYBRID+ ที่แยกย่อยได้ตามช่วงความเร็วของรถ แบบรวมทุกระบบไฮบริดไว้ในคันเดียว ทั้งระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) ระบบขับเคลื่อนแบบผสานเครื่องยนต์และมอเตอร์ (Parallel Hybrid) หรือแม้แต่การขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน (Pure EV) ทำให้การขับขี่ในทุกช่วงความเร็วเป็นไปอย่างราบรื่นและลงตัว ตอบสนองในเรื่องของความประหยัดได้เป็นอย่างดี
ส่วนโหมดควบคุมการขับขี่มี 3 รูปแบบครับ ได้แก่ โหมด Eco โหมด Standard และโหมด Sport ทั้งยังมีระบบ KERS หรือ Kinetic Energy Recovery System 3 ระดับ ได้แก่ มาก ปานกลาง และน้อย ที่เปลี่ยนพลังงานจลน์ขณะชะลอรถให้กลายเป็นไฟฟ้ากลับเข้าแบตเตอรี่ ขับสนุกเหมือนรถไฟฟ้าแต่ไปได้เร็วกว่าโดยไม่ต้องรอชาร์จไฟ
3. ดีไซน์ที่สปอร์ต ในแบบแฮทช์แบ็ก 5 ประตู และห้องโดยสารแบบทูโทน
ด้วยขนาดตัวถังและความยาวฐานล้อที่สั้น ทำให้ MG3 ยังคงความเป็นรถที่ดูคล่องตัว ในส่วนของการออกแบบ ยังคงสไตล์ความปราดเปรียวในแบบฉบับของรถแฮทช์แบ็ก โดยถือเป็นรถที่มีความกว้างมากที่สุดในคลาส ด้วยขนาดความกว้างกว่า 1,797 มิลลิเมตร ดีไซน์ไฟหน้า LED แบบใหม่ Hunter Eye Headlamp ดวงตานักล่า ที่ดูคมชัด และโฉบเฉี่ยว ไฟหน้า พร้อมระบบเปิด-ปิด ไฟหน้าอัตโนมัติ พร้อมกระจังหน้าแบบใหม่ ไฟท้ายได้รับแรงบันดาลใจจากปีกผีเสื้อ สะท้อนถึงการเคลื่อนไหวที่คล่องตัว เส้นสายการออกแบบ รอบตัวถังเน้นความโค้งมน กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยว และพับอัตโนมัติ ระบบปัดน้ำฝนด้านหน้าแบบอัตโนมัติ พร้อมใบปัดน้ำฝนด้านหลัง และล้ออัลลอย ขนาด 16 นิ้ว
ห้องโดยสารแบบ Modular Concept ภายในกว้างขวาง เพียงพอสำหรับทุกตำแหน่งทั้งขับและนั่งโดยสาร และเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพ พร้อมการออกแบบคอนโซลที่เล่นระดับให้มีมิติ เพิ่มความหรูหราด้วยภายในแบบทูโทน ขาวสลับดำ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบ2 ก้านหุ้มหนัง พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียงพร้อมปุ่มรับ – วางสายโทรศัพท์ กระจกไฟฟ้า One Touch Up-Down ด้านผู้ขับขี่ เบาะนั่งคนขับปรับ 6 ทิศทาง และเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับ 4 ทิศทาง เน้นความสะดวกในการใช้สอย สำหรับทั้งคนขับและผู้โดยสาร ทั้งเพิ่มอรรถประโยชน์ในการใช้งาน โดยเฉพาะการออกแบบห้องโดยสารที่โดดเด่นในเรื่องของพื้นที่เหนือศีรษะ และพื้นที่วางขา
ห้องสัมภาระท้ายจุได้มากถึง 293 ลิตร และเมื่อพับเบาะสามารถจุได้มากถึง 1,037 ลิตร ห้องสัมภาระท้ายจุได้มากถึง 293 ลิตร และเมื่อพับเบาะสามารถจุได้มากถึง 1,037 ลิตรอำนวยความสะดวกสบายในการขับขี่และการใช้งานฟังก์ชันต่างๆ ด้วยหน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว และหน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิตอลขนาด 10.25 นิ้ว รวมถึงระบบเชื่อมต่อมัลติมีเดีย Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย ลำโพง 6 จุด ระบบปรับอากาศแบบดิจิตอล ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง และกุญแจรีโมทอัจฉริยะแบบ Smart Key
4. ช่วงล่างดี ระบบความปลอดภัยแน่น ทดสอบโดยทีมวิศวกรระดับโลก
ความโดดเด่นอีกอย่างที่สัมผัสได้ของ MG3 ก็คือฟิลลิ่งการควบคุมรถ ผ่านระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า EPS ที่คุมง่าย เซ็ตน้ำหนักมากำลังดีต่อการใช้งาน และ ช่วงล่างหน้าแบบ MacPherson Strut พร้อมเหล็กกันโคลง ช่วงล่างหลังแบบ Torsion Beam โดยรวมช่วงล่างที่ให้การดูดซับแรงสะเทือนดี พร้อมทั้งให้ความมั่นคงที่ความเร็วสูง ระบบเบรกก็เป็นแบบ ดิสก์เบรก ทั้งหน้า และ ดิสก์เบรกหลัง พร้อมช่องระบายความร้อน เรียกว่าสามารถใช้งาน เดินทางได้ทั่วไทย จะขับไปต่างจังหวัดไกล ๆ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการเกาะถนน ถือเป็นรถเล็กที่มีช่วงล่างโดดเด่นมากที่สุดในตลาดคันหนึ่งเลยก็ว่าได้
นอกจากนี้ ALL NEW MG3 HYBRID+ ยังมาพร้อมโครงสร้างตัวถังนิรภัยแบบ FSF (Full Space Frame) พร้อมด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐาน ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM ซึ่งรวมระบบความสะดวกช่วยควบคุมการขับขี่ และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจำนวน 8 ระบบ พร้อมระบบเบรกอัจฉริยะ (Intelligent Brake System)
ปิดท้ายที่ MG3 HYBRID+ ยังถือเป็นโกลบอลโมเดลที่สะท้อนความมุ่งมั่นของ เอ็มจี ด้วยการเป็นรถยนต์ ที่คิดค้น พัฒนา และทดสอบโดยทีมวิศวกรระดับโลก และมีการปรับจูนทุกระบบเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับการใช้งานจริงบนท้องถนนทั่วโลก รวมระยะทางมากกว่า 14,000 กิโลเมตร กับการวิ่งทดสอบบนถนนจริง (Road Test) ทั้งในจีน และทวีปยุโรป โดยสำหรับในประเทศไทย เริ่มตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทีมวิศวกรได้นำ MG3 HYBRID+ วิ่งทดสอบ รวมระยะทางวิ่งแล้วกว่า 10,000 กิโลเมตร ทั่วทุกภูมิภาคอีกด้วยครับ…
คุยหลังขับ กับ กันต์ เย็นสบาย
สำหรับ All-New MG3 เจนฯ ใหม่นี้ เทียบกับคู่แข่งใน Segment เดียวกันทั้ง Honda City Toyota Yaris Mazda 2 ก็ถือว่า เป็นการกลับมาใหม่ที่น่าสนใจ ในแนวทางการพัฒนารถแฮทช์แบ็ก 5 ประตู ในเจนเนอเรชั่นที่ 2 ที่เรียกได้ว่าเป็นการปรับเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่หน้าจรดท้าย ถูกเพิ่มเติมฟีเจอร์ต่างๆ ขึ้นจากเดิมทั้งระบบเชื่อมต่อที่ครอบคลุมหลากหลาย และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ต่าง ๆ รวมทั้งไฮไลต์เด่นที่ขุมพลัง ที่ผสานทุกระบบไฮบริด กับเทคโนโลยี HYBRID+ ด้วย 8 โหมดขับเคลื่อนในทุกย่านความเร็ว เป็นหนึ่งเดียวในคลาส B-Segment ที่มีแบตเตอรี่ความจุมากที่สุด เครื่องยนต์และมอเตอร์แรงที่สุด
บนเส้นทางทดสอบ จาก กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ในเรื่องของสมรรถนะการขับขี่ ส่วนตัวชอบครับการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าตอบสนองได้รวดเร็วมาก ไม่ต้องรอรอบเครื่องยนต์ทำงาน เพื่อให้ได้จังหวะแรงบิด เพียงกดคันเร่งปุ๊บ ก็ติดปั๊บ ทันใจ เร่งติดเท้า ช่วงล่างรองรับการขับขี่และการเข้าโค้งได้ดี พวงมาลัยแม่นยำและความรถเด่นที่ความคล่องตัว ขับสนุกแบบรถอีวี แต่มีดีที่ไม่ต้องชาร์จ
กับโจทย์ในทริปทดสอบนี้ ในการหาคำตอบ ว่ารถรุ่นนี้ ประหยัด น้ำมันแค่ไหน!!! น้ำมันหนึ่งถังไปได้ไกลกว่า 800 กิโลเมตร หรือไม่…ตอบได้เลยครับว่าไปได้จริง รถคันที่ผมทดลองขับ น้ำมันถังเดียวจาก กรุงเทพฯ ถึงปั๊มที่เชียงใหม่ น้ำมันยังเหลือครับ เติมเพิ่มไปแค่ 21 ลิตร (จากความจุถังน้ำมัน 36 ลิตร ) อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยทำได้ที่ 21.7 กิโลเมตรต่อลิตร (ซึ่งในทริปเดียวกับผม มีรถทดสอบอัตราประหยัดน้ำมันโดยเฉพาะอยู่ 2 คันที่ปิดผนึก ถังน้ำมันไว้ ขับจนหมดถังได้ตัวเลขสูงสุดอยู่ที่ 925 กิโลเมตร ) โดยรวม สำหรับผมชอบนะ กับการปรับให้รถกลมกล่อมขึ้น และคิดว่าเหมาะสำหรับใครที่ต้องการรถเล็กมีสล์ ที่มีความเป็นรถยนต์ไฮบริดยุคใหม่
ส่วนในเรื่องสีสันตัวถังภายนอก จะมีกี่สีให้เลือก รุ่นย่อยจะแบ่งเป็นกี่รุ่น มอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่จะมีการรับประกันด้วยหรือไม่ หลังเปิดราคาอย่างเป็นทางการภายในเดือน สิงหาคม 2567 นี้ หากมีข้อมูลเพิ่มเติม จะรีบนำมารายงานให้ทราบกันโดยทันทีครับ…