ทัวร์ฟูจิ มอเตอร์สปอร์ต มิวเซียม ประเทศญี่ปุ่น  

 

A Car ได้รับหมายเชิญจาก บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เพื่อไปชมประวัติศาสตร์ของวงการมอเตอร์สปอร์ตที่ประเทศญี่ปุ่น ที่ซึ่งรวบรวมที่มาของรถยนต์รุ่นต่าง ๆ ที่ใช้ในการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตทั่วโลก ไม่เฉพาะเจาะจงเพียงโตโยต้าแต่เพียงอย่างเดียว

“ฟูจิ มอเตอร์สปอร์ต มิวเซียม” (Fuji Motorsports Museum) เป็นสถานที่รวบรวมประวัติศาสตร์แห่งวงการมอเตอร์สปอร์ตทั่วโลกยาวนานกว่า 130 ปี “ฟูจิ มอเตอร์สปอร์ต มิวเซียม” อยู่ในพื้นที่เดียวกับ โรงแรม Fuji Speedway Hotel โรงแรมนี้มีจุดเด่นที่บรรยากาศของห้องพักจะเห็นสนามแข่ง “Fuji Speedway” อีกด้านหนึ่งจะเป็น “ภูเขาไฟฟูจิ ในช่วงเวลาที่คณะของเราเดินทางไป 13-17 มีนาคม 2566 เป็นต้นฤดูใบไม้ผลิแล้ว

 

 

สภาพอากาศค่อนข้างสบาย และได้เห็นความงดงามของภูเขาไฟฟูจิชัดเจน สวยงาม ยังคงมีหิมะปกคลุมพองามและอากาศเย็นสบาย อุณหภูมิโดยประมาณ 7-10 แก่ๆ เห็นความงามของฟูจิเต็มตา นอกจากฟูจิ ซังที่งดงามแล้ว สื่อทุกคนตื่นตาตื่นใจกับ  “ฟูจิ มอเตอร์สปอร์ต มิวเซียม” แม้ว่าหลายสังกัดจะได้แวะมาเยี่ยมชมบ้างแล้วก็ตาม ด้วยความมีเรื่องราว ยังคงทำให้ทุกคนที่เข้ามาสัมผัสกับข้อมูลจะรู้สึกประทับใจ และกระหายที่จะอยากรู้ อยากเห็นกับรถยนต์ทุกๆ คัน ที่นำมาจัดแสดงไว้ที่ แห่งนี้

 

 

ฟูจิ มอเตอร์สปอร์ต มิวเซียม เป็นสถานที่จัดแสดงประวัติศาสตร์แห่งวงการรถสปอร์ตจากทั่วโลก แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการแห่งมอเตอร์สปอร์ตอันเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์มาโดยตลอด การมาเยี่ยมชมครั้งนี้ จะมีเจ้าหน้าที่ของทางพิพิธภัณฑ์ เป็นผู้บอกเล่าเรื่องราวประวัติความเป็นมาของรถแต่ละคัน ในแต่ละชั้น มีรถที่น่าสนใจรวม 40 คัน โดยแบ่งโซน ๆ

ในโซนสุดท้ายจะเป็น “พลังงานใหม่แห่งยานยนต์และมอเตอร์สปอร์ต” แสดงถึงเทคโนโลยีพลังงานขับเคลื่อนรูปแบบใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น พลังงานไฟฟ้า, พลังงานไฮโดรเจน, พลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพ ฯลฯ เพื่อบรรลุการเป็นสังคมที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน ซึ่งการใช้พลังงานรูปแบบใหม่ในวงการมอเตอร์สปอร์ต จะเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดว่าพลังงานรูปแบบใดที่มีความเหมาะสมกับอุตสาหกรรมยานยนต์มากที่สุดในอนาคต ซึ่งโตโยต้าให้ความสำคัญในเรื่องนี้อย่างมาก ถือเป็นพันธกิจสำคัญในการดำเนินธุรกิจด้วย

 

สำหรับที่ ฟูจิ มอเตอร์สปอร์ต มิวเซียม ถือเป็นที่รวบรวมรถแข่งในวงการมอเตอร์สปอร์ตได้มากมาย สมบูรณ์ที่สุด มีรถแข่งทั่วทุกมุมโลก ซึ่งคุณไม่ต้องไปตามหาดูจากหลาย ๆ ที่ เพียงแวะมาที่นี่ คุณก็จะได้เห็นได้รับรู้เรื่องราวอันน่าประทับใจของรถยนต์ในวงการมอเตอร์สปอร์ตได้ครบถ้วนในหลากยี่ห้อ ทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออก

ประวัติศาสตร์ของการแข่งรถครั้งแรกในโลกเริ่มต้นเมื่อปี 1895 ณ กรุงปารีส มีโปสเตอร์เป็นรูปผู้หญิงใช้ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ในการแข่งรถ ซึ่งจัดแข่งที่ กรุงปารีส รถแข่งทุกคันจะมีพวงมาลัยอยู่ตรงกลาง เขามองว่ารถแข่งมีคนขับแค่คนเดียวเพราะฉะนั้นการที่จะคอนโทรลให้ได้เห็นด้านซ้ายและขวาทั่วไปหมด ต้องนั่งตรงกลางเป็นหลัก แต่ถ้าเป็นสนามแข่งแรลลี่ คาร์ ซึ่งเป็นรถจำหน่ายทั่วไปก็จะมีพวงมาลัยขวา ซ้าย ตามแต่ละประเทศ ส่วนเครื่องยนต์จะติดตั้งไว้ข้างหน้าเพื่อที่จะทำให้เกิดการระบายความร้อนได้ดี

 

 

 

หลังจากนั้น 10 ปีการแข่งขัน ขยายวงกว้างมากขึ้น การแข่งขันรอบโลกรถคันแรกที่ชนะคือ Thomas Flyer ยุคนั้นความทนทานของรถยังเป็นปัญหาอยู่มาก การแข่งขันทางไกลข้ามทวีปครั้งแรกของโลกจากกรุงปักกิ่งไปยังปารีส และเมืองข้างเคียง อีก 10 ปีต่อมารถยนต์มีวิวัฒนาการสามารถขับไปทั่วโลกได้ และรถคันนี้ก็สามารถวิ่งทดสอบความทนทานด้วยการวิ่งรอบโลกได้ 1 รอบ เลยทำให้เกิดความเชื่อมั่นในเรื่องความทนทาน การวิ่งรอบโลกในสมัยนั้นคือ เริ่มจากกรุงนิวยอร์กไปยังปารีส ใช้เส้นทางจากกรุงนิวยอร์กข้ามทวีปอเมริกาเหนือไปทางฝั่งตะวันตกแล้วขนส่งรถแข่งลงเรือข้ามมหาสมุทรแปซิฟิคไปยังประเทศญี่ปุ่นแล้วเข้าสู่รัสเซียจนกระทั่งไปสิ้นสุดการแข่งขันที่กรุงปารีส

รถยนต์รุ่นแรกที่ใช้ในการแข่งเป็นเครื่องยนต์ 3,000 ซีซี 19 ลิตร มีขนาดเครื่องยนต์ที่ใหญ่มาก และมีแรงม้าเพียง 80 แรงม้า ด้วยเทคโนโลยีในยุคนั้น ถ้าอยากได้แรงม้ามาก ๆ ขนาดของเครื่องยนต์ก็จะใหญ่ขึ้น ต่างกับในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีทันสมัยขึ้น เครื่องยนต์มีขนาดเล็ก ในขณะเดียวกันสามารถรีดแรงม้าได้มากยิ่งขึ้น

ต่อเมื่ออุตสาหกรรมยานยนต์มีการพัฒนาขึ้น การคิดค้นพัฒนาเครื่องยนต์ให้มีขนาดเล็กลง แต่ให้ประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนได้สูงขึ้น ดังนั้นรถแข่งในเจนถัดมาจึงวิวัฒนาการมากขึ้น ทั้งนี้รถแข่งในยุคต้นๆ นั้นมีต้นกำเนิดจากรถม้า ดังนั้นเครื่องยนต์กลไก รูปทรง รูปลักษณ์จึงถอดแบบมาจากรถม้านั่นเอง


 

ต่อมาถึงยุคที่มีการแข่งขันกรังด์ปรีซ์ เป็นการแข่งขันระหว่างประเทศ เพราะฉะนั้นแต่ละประเทศก็จะมีสีเป็นของตัวเอง สีเขียวเป็นของอังกฤษ สีฟ้าเป็นของฝรั่งเศส สีแดงเป็นของอิตาลี สีเงินของเยอรมนี แต่ละประเทศจะเอาสีประเทศของตัวเองมาเป็นสีรถแข่งและยังสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ในการทาสีรถแข่ง

รถของฝรั่งเศส คันสีฟ้า ได้วิศวกรที่มีความรู้ ความสามารถมาออกแบบรถยนต์ให้มีเครื่องยนต์กะทัดรัดเพื่อให้แข่งขันได้ และมีการออกแบบล้อเป็นอลูมิเนียมจะขับได้เร็ว มันก็เลยเป็นเทคโนโลยีใหม่ขึ้นมาและมีการนำวิวัฒนาการของเครื่องบินมาใช้กับรถยนต์ด้วย ด้วยการติดตั้งซูเปอร์ชาร์จเจอร์ เป็นครั้งแรก ส่วนคันสีเงินเป็นของเยอรมนี เป็นรถค่ายเมอร์เซเดส- เบนซ์

 

 

นอกจากนี้ที่ “ฟูจิ มอเตอร์สปอร์ต มิวเซียม” แห่งนี้ยังมีมุมที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย คือจุดเริ่มต้นการแข่งรถในเอเชียจะมีเฉพาะญี่ปุ่นและไทยเท่านั้น ประเทศไทยมีพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช หรือ พระองค์ชายพีระ โดยใช้ชื่อในการแข่งขันว่า “B.Bira หรือ พ.พีระ” เป็นนักแข่งชาวไทยและชาวเอเชียคนแรกที่สามารถไปแข่งขัน Coupe de Prince Rainier ที่เซอร์กิตเดอโมนาโก และทรงชนะเลิศการแข่งขัน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่สุดยอดมากในยุคนั้นที่คนเอเชียสามารถเอาชนะได้ และทรงชนะเลิศการแข่งรถกรังด์ปรีซ์ในยุโรปอีกหลายครั้งจนได้รางวัล “ดาราทอง” จากสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่ง สหราชอาณาจักร 3 ปีซ้อน

ต่อมาพระองค์ชายพีระเตรียมการที่จะจัดการแข่งรถใน “บางกอก” (Bangkok Grand Prix ) ซึ่งมีโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ด้วย โดยเชิญนักแข่งชั้นนำมาแข่งขันบนเส้นทางรอบสนามหลวงและพระบรมมหาราชวัง ระยะทาง 2 ไมล์ แต่การแข่งขันต้องยกเลิกไปเพราะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นเสียก่อน

สำหรับการแข่งรถของประเทศญี่ปุ่นยุคแรกจะเป็นการแข่งขันที่เรียกกว่า Japanese Grand Prix ในช่วงทศวรรษ 1960 ยุคแรกจะมีการนำเอารถยนต์ที่มีการจำหน่ายทั่วไปมาดัดแปลงและแข่งขันกัน แต่หลังจากนั้นก็ได้วิวัฒนาการพัฒนารถมาเฉพาะการแข่งขันกันในปี 1966 และเริ่มมีหลายค่ายเพิ่มขึ้น หลังจากรถแข่งก็มีหน้าตาดีขึ้นทันสมัยขึ้น สมรรถนะดีกว่าเดิมเลยทำให้รถที่จำหน่ายออกมาในช่วงนั้นจะมีหน้าตาคล้ายรถแข่งตามไปด้วย

 

 

 

ภายใน“ฟูจิ มอเตอร์สปอร์ต มิวเซียม” ยังมีลายเซ็นของประธานโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น Akio Toyoda ซึ่งแกจะใช้นามแฝง “Morizo” ในการลงแข่งขัน นอกจากนี้ยังมีลายเซ็นของนักขับทั้งรถเก่า รถใหม่ ที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่นและทั่วโลกมากมาย

ทั้งนี้ที่นี่ยังมีรถที่โดดเด่นของโตโยต้า เป็นรุ่น 2000GT พัฒนาขึ้นมาเมื่อ 50 ปีที่แล้ว รถคันนี้ทำให้โตโยต้ามีชื่อเสียงมากในญี่ปุ่นเพราะว่าเป็นรถที่สามารถทำลายสถิติโลกได้หลายครั้งในยุคนั้น และที่ภาคภูมิใจรถคันนี้นำไปใช้ในภาพยนตร์เรื่อง เจมส์ บอนด์ 007 ด้วยทำให้มีชื่อเสียงไปทั่วโลก

 

 

การเยี่ยมชม ฟูจิ มอเตอร์สปอร์ต มิวเซียม ครั้งนี้ ทำให้ได้รับรู้ข้อมูล ประวัติศาสตร์และความเป็นมาของรถแข่งของหลาย ๆ ประเทศ ที่โตโยต้า สามารถรวบรวมไว้ที่นี่ได้ สำหรับคนที่ชื่นชอบกีฬามอเตอร์สปอร์ต น่าจะหาเวลาแวะมาชม และซึมซับความประทับใจไปด้วยกัน  

ฟูจิ มอเตอร์สปอร์ต มิวเซียม เปิดทำการทุกวันไม่เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ (เฉพาะช่วง 1 ปีแรกนับจากเริ่มเปิดให้เข้าชม) โดยผู้สนใจสามารถจองบัตรเข้าชมล่วงหน้าผ่านทางเว็บไซต์ https://fuji-motorsports-museum.jp/en/ อัตราค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ (อายุ 18 ปีขึ้นไป) วันธรรมดาอยู่ที่ 1,800 เยน (จองล่วงหน้าเหลือ 1,600 เยน) วันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์อยู่ที่ 2,000 เยน (จองล่วงหน้าเหลือ 1,800 เยน) รวมถึงมีอัตราพิเศษสำหรับนักเรียนประถม-มัธยม, ผู้พิการ และผู้ที่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือทางการแพทย์