MG4 Electric Standard Range X

ตัวตึง ไม่ถึงล้าน…ยืนหนึ่งในแบบแฮทช์แบคไฟฟ้า ขับหลัง  

 

โดย กันต์ เย็นสบาย

 

MG4 นับเป็นรถยนต์ไฟฟ้าอีกรุ่นจากแบรนด์ MG ถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานโครงสร้างใหม่ที่เกิดมาเพื่อเป็นรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ NEBULA PURE ELECTRIC PLATFORM นวัตกรรมที่ออกแบบมาเพื่อเป็นรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ สามารถปรับใช้ร่วมกับรถยนต์ไฟฟ้าได้ครอบคลุมหลากหลายเซกเมนต์ หลายขนาด ตั้งแต่รถแฮทช์แบ็ค ซีดานไปจนถึงรถกระบะ รองรับการใช้แบตเตอรี่ได้หลากหลายความจุ

ในบ้านเราความเคลื่อนไหวในปี 2567 ที่ผ่านมาล่าสุด ทาง MG ประเทศไทย ได้ทำการเปิดตัว MG4 ออกมาทั้งหมดรวม 4 รุ่นด้วยกันครับ โดยแบ่งเป็นเวอร์ชั่นนำเข้าจากประเทศจีน 1 รุ่น ได้แก่ MG 4 XPower กับ สมรรถนะแบบดุดัน จากมอเตอร์คู่ 435 แรงม้าและระบบขับเคลื่อนด้วย 4 ล้อ รวมไปถึงรุ่นประกอบในประเทศไทย 3 รุ่นได้แก่ MG 4 รุ่น V ในแบบLong Range และ รุ่น D กับ  X  ในแบบ Standard Range และเป็นเวอร์ชั่นประกอบในประเทศไทย เหมือน MG4 Electric Standard Range  X  คันนี้ ที่ทาง acarnewsonline นำมาเพื่อทดลองขับขี่และใช้งานจริง

 

 

สีสันตัวถังใหม่ สีส้ม (Fizzy Orange) เด่นสะดุดตา

ตัวรถที่ออกแบบ เน้นความลู่ลมในการขับขี่  MG4 จึงเป็นรถยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อหลัง หนึ่งเดียวในพิกัดราคา 1 ล้านบาท ที่ถูกวิจัยและพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าตั้งแต่ต้น มิได้เป็นการพัฒนาต่อยอดจากรถยนต์สันดาปแต่อย่างใด ส่งผลให้ตัวรถ ฉีกกฎเกณฑ์เดิม ๆ ในการพัฒนารถยนต์ ดีไซน์ภายนอก MG4 Electric Standard Range  X  การตกแต่งภายนอกเน้น Concept เหมือนเดิม ภายนอกมองเผิน ๆ แทบจะไม่ต่างจากรุ่นที่เปิดตัวไปก่อนหน้ากับความเป็นรถไฟฟ้าแฮตช์แบ็กตัวถัง 5 ประตู ขนาดคอมแพกต์ และตกแต่งแบบรถอเนกประสงค์พร้อมกับดีไซน์สปอร์ต  

 

 

ไฟหน้าในแบบ LED Galaxy technology matrix เน้นความเฉียบคม มาพร้อมกับระบบเปิด/ปิดไฟสูงอัตโนมัติ กระจังหน้าแบบปิดทึบ ตามสไตล์ของรถยนต์ไฟฟ้าและ กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวแบบ LED พับด้วยไฟฟ้า แยกชิ้นไฟเลี้ยว ไม่ได้รวมอยู่กับไฟหน้า แต่อยู่บริเวณกันชน ส่วนชายล่างกันชนหน้า เป็นครีบกระจังหน้าแบบเปิด – ปิด อัตโนมัติ Adaptive Grille ที่เป็นส่วนของช่องรับอากาศไปยังระบบระบายความร้อนต่าง ๆ ของตัวรถ ทั้ง ชุดเครื่องปรับอากาศ, ชุดระบายความร้อนมอเตอร์ และแบตเตอรี่  ไฟท้าย LED แบบ 3 มิติ ที่ลากยาวมาบรรจบที่โลโก้ MG ตรงกลาง และมาพร้อมกับสปอยเลอร์ท้ายบริเวณหลังคารถ แบบ TWIN ARROW WING  ซึ่งออปชั่น 2 ชิ้นนี้ มีเฉพาะรุ่นท็อปเท่านั้น ที่ช่วยทำให้ดีไซน์ของรถ ดูทันสมัย

ที่เพิ่มเติมมาดีอีกจุด คือ ใบปัดน้ำฝนด้านหลัง มาพร้อม Adaptive Grille ที่สามารถปรับองศาให้สอดคล้องกับความเร็วได้  และมาพร้อมระบบไล่ฝ้า  ดีไซน์โดยรวมของ MG4 จะเน้นไปที่ความสปอร์ต โฉบเฉี่ยว และภายนอกแทบจะไม่มีความแตกต่างจากรุ่นก่อนหน้า แต่จำง่าย ๆ คือสี ที่เป็นสีใหม่ คือสีส้มพิเศษ และพื้นหลังคาสีดำ จะมีในตัว Standard Range รุ่น X เท่านั้น

  

 

หน้าจอมัลติมีเดียใหม่  12นิ้ว เชื่อมต่อไร้สาย ภายในเน้นความมินิมอล

ในรุ่น MG4 Electric Standard Range  X แบบคันนี้ ภายในถูกออกแบบโดยเน้นความมินิมอล ความสูงโปร่งโล่งดีไม่เตี้ยแบบที่คิด ภาพรวมในส่วนของภายใน ไม่ได้ต่างจากเวอร์ชั่นเข้าจากจีนไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งคอนโซลหน้าแผงประตูคอนโซลกลางเบาะนั่ง พวงมาลัย แบบ 2 ก้าน ที่ปรับได้ 4 ทิศทาง ที่วางแก้วน้ำ มีทั้งคอนโซลกลาง ที่เกียร์และเพิ่มช่องวางแก้วบริเวณแผงด้านข้างประตู เพิ่มราวมือจับสำหรับผู้นั่งโดยสาร (Assist Grip) 3 ตำแหน่ง สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง และคนนั่งโดยสารตอนหน้า ยกเว้นของฝั่งคนขับที่ไม่มี

แป้นเกียร์ไฟฟ้าแบบหมุน ตามสไตล์ของรถยนต์ไฟฟ้าจาก MG การเข้าเกียร์แบบElectric shifter แบบวงแหวน อยากเข้าเกียร์ต้องเหยียบเบรค แล้วหมุน ตรงกลางที่ 1 เป็นเกียร์ N ซ้าย 1 ทีเป็นเกียร์ R อยากเข้าเกียร์ P กดปุ่มตรงกลาง รวมทั้งเบรกมือไฟฟ้า มีมาให้ครบ

 

สิ่งที่มีการปรับเปลี่ยนและเห็นได้ชัดในส่วนของภายใน คือจอกลางมัลติมีเดีย ใหญ่ขึ้น จาก 10 นิ้ว เปลี่ยนเป็น 12 นิ้ว หน้าตาของระบบอินเตอร์เฟสในหน้าจอ ถือว่าดูทันสมัยขึ้นใช้งานง่ายขึ้น ในส่วนของหน้าจอมาตรวัด ต่าง ๆ เมนูหลัก ๆ มองได้ชัดเจน ออกแบบมาดี ลดปุ่มกดที่ไม่ได้ใช้งานบ่อย ๆ เอาไปไว้ในหน้าจอแทน และทำหน้าที่ควบคุมการตั้งค่าต่าง ๆ ของตัวรถไว้อย่างครบครัน ทั้งระบบความบันเทิง, ระบบปรับอากาศ และการควบคุมการขับขี่

 

 

ในส่วน ของ  Apple carplay Android Auto สามารถเชื่อมต่อได้แบบไร้สาย ซึ่งจะแตกต่างจากในรุ่นนำเข้าจากจีน ที่ยังต้องเสียบสาย มาพร้อมระบบปฏิบัติการ I Smart Version 2 ที่มีระบบการสั่งงานด้วยเสียงและมี Wireless charger ให้ที่คอนโซลใกล้ ๆ กับตำแหน่งเกียร์ ส่วนเรือนไมล์ หลังพวงมาลัยเป็นหน้าจอขนาด 7 นิ้ว บอกข้อมูลการขับขี่พื้นฐานครบครัน กระจกมองหลังแบบตัดแสงอัตโนมัติ พร้อมกล่องเก็บแว่นบนเพดาน ตัวเบาะนั่งแบบทูโทน สีขาวสลับดำ ตัดด้วยสีส้ม เบาะนั่งด้านหลัง สามารถพับเรียบได้แบบ 60:40 เพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระ โดยเบาะไฟฟ้ามีเฉพาะในตัวของผู้ขับขี่

โดยรวมภายในห้องโดยสาร การปรับปรุง ปรับตำแหน่ง อุปกรณ์ต่าง ๆ ของตัวรถใหม่ ลงตัวเหมาะสมกับการใช้พื้นที่ตามสไตล์รถยนต์ไฟฟ้า และในรุ่นนี้ถือว่า สวยแบบเรียบง่าย ตามสมัยนิยม และใช้งานได้ง่ายขึ้นด้วย

 

 

ปรับไลน์อัพรุ่นย่อยใหม่ แบตเตอรี่ 49 กิโลวัตต์ชั่วโมง วิ่งได้ ระยะทาง 423 กิโลเมตร

อย่างที่บอกไป การทำตลาด ของทาง MG มีปรับไลน์อัพรุ่นย่อยใหม่ของ MG 4 ในประเทศไทย โดยยกเลิกรุ่น D และ X (แบตเตอรี่ 51 kWh) วิ่งได้ ระยะทาง 425 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และเพิ่มรุ่น Standard Range D และ Standard Range X (แบตเตอรี่ 49 kWh) *อย่างในคันที่นำมาทดสอบ ที่วิ่งได้ ระยะทาง 423 กิโลเมตร ซึ่งส่วนตัวสำหรับผมตัวเลขนี้ คงทำให้ข้อที่หลายคนกังวล ว่าลดขนาดแบตเตอรี่แล้ว จะ วิ่งทางไกลน้อยลง ว่าคงไม่ใช่ปัญหา รวมทั้งในการทำปรับไลน์อัพรุ่นย่อยใหม่ ยังมีการเพิ่มรุ่น Long Range V (แบตเตอรี่ 64 kWh) ที่วิ่งได้ไกลสูงสุด 540 กม. ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ไว้เป็นทางเลือกอีกด้วย

ซึ่งในรุ่น Standard Range X (แบตเตอรี่ 49 kWh) *อย่างในคันที่นำมาทดสอบ มาพร้อมระบายความร้อนแบบ LIQUID Cooling System สมรรถนะตัวเลขเคลมจากโรงงาน ระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จ 423 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC)  มาพร้อมโหมดการขับขี่ 5 รูปแบบ

ส่วนในเรื่องของการชาร์จจุดชาร์จของ mg4 จะอยู่ที่แก้ม ด้านหลังฝั่งซ้ายครับ ที่เวลาใช้งาน ต้องกดปลดล็อคแล้วเปิดขึ้นมา ก็จะเจอจุดชาร์จ ทั้งในแบบรองรับการชาร์จการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง  DC และ การชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ AC  ซึ่งการชาร์จเร็วแบบ DC รองรับกำลังไฟสูงสุดถึง 88 กิโลวัตต์ สามารถที่จะชาร์จจาก 10 ถึง 80% ได้ในระยะเวลาเพียง 35 นาทีเท่านั้น ส่วนการชาร์จแบบ AC รองรับกำลังไฟสูงสุด 6.6 กิโลวัตต์ สามารถชาร์จจาก 0-100% ภายใน 8 ชั่วโมง


 

TECHNOLOGY ระบบช่วยเหลือรอบคัน ครบ ๆ พร้อมใช้งาน

ตามสเปครายละเอียด ของตัวรถ มิติตัวถัง 4,287 x 1,836 x 1,516 มิลลิเมตร (ยาว x กว้าง x สูง) ระยะความยาวฐานล้อ 2,705 มิลลิเมตร เรียกได้ว่ามีฐานล้อยาว ซึ่งถ้าเทียบในรูปแบบของรถเน้นใช้ในเมืองแบบรถไฟฟ้าแล้วถือว่าเป็นรถที่มีตัวถังขนาดใหญ่ แต่จุดที่น่าสนใจสำหรับ MG4 คือ ตัวรถมีการกระจายน้ำหนักแบบสมมาตร 50:50, กับช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังอิสระแบบ 5-Link Suspension ที่จะช่วยลดแรงสั่นสะเทือนบนผิวถนนและเพิ่มประสิทธิภาพในการเกาะถนนได้ดี ระบบการทำงานของรถสตาร์ทโดยอัตโนมัติเพียงแค่เหยียบเบรก มาพร้อมระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i–SMART

อีกจุดที่รถยนต์ไฟฟ้า ในปัจจุบัน พยายามใส่เข้ามาเพิ่มความน่าสนใจ ของตัวรถ คือเรื่อง ของ เทคโนโลยีระบบช่วยเหลือการขับขี่แบบครบ ๆ พร้อมใช้งานจริง  สำหรับ MG4  Standard Range X  ตัวรถมาพร้อมกับระบบ กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ และ บรรดาระบบช่วยเหลือการขับขี่ทั้งหมดที่ให้มากกว่ารุ่นเริ่มต้นคือ ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนและช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน ELK ระบบช่วยเบรกขณะถอยหลัง RCTB ระบบช่วยป้องกันอุบัติเหตุจากมุมอับสายตา ที่ประกอบด้วย ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist) ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection) ระบบช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert) ระบบช่วยเตือนการชนด้านหลัง RCW (Rear Collision Warning) ระบบช่วยเตือนการเปิดประตู DOW (Door Open Warning)

 

 

คุยหลังขับ

บนเส้นทางจาก กทม. ผ่าน นครปฐม ไปจนถึง ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี ผมมีโอกาสเดินทางด้วยรถคันนี้ ไปเยือนขุนเขา สายหมอก และสายน้ำ เพื่อทดสอบ การขับขี่และหนีกรุง ไปดื่มด่ำธรรมชาติแบบไม่ไกล กทม. จนเกินไป โดยหลังจากรับรถจากแถวย่านสีลม ผมขับยาวรวดเดียวแบบไม่แวะชาร์จ เพื่อจะดูตัวเลขเคลมจากโรงงาน ที่แจ้งระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จ 423 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC ของ แบตเตอรี่ 49 kWh  ว่าจะขับได้จริงถึงได้แค่ไหน

การพัฒนาให้ชุดแบตเตอรี่ของรถ ถูกเก็บไว้ในโครงสร้างของตัวรถเลย ส่งผลให้รถมีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำมาก และจุดที่ต่ำที่สุดของรถไม่ใช่แบตเตอรี่อีกต่อไป แต่เป็นชุดช่วงล่าง ซึ่งก็เหมือนกับรถยนต์ปกติทั่วไป การเก็บอาการดีดดิ้นของช่วงล่าง อาการโคลงของตัวรถ ทำได้ดี แฮนลิ่งการควบคุมพวงมาลัยมั่นใจ ทำได้เฉียบคม

 

ขุมพลังของตัวรถ จากมอเตอร์ไฟฟ้า 170 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหลัง ทำให้แรงม้าและแรงบิดของมันทำงานทันทีที่กดคันเร่ง แบบโดนถีบผลักออกไป ซึ่งหาได้จากรถยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อหลังเท่านั้น  ทั้งหมดส่งผลดีกับบาลานซ์ของตัวรถ ที่ขับขี่ ได้สนุกมุดมัน แบบรถ สปอร์ต ทั้งช่วงล่างแบบอิสระ อัตราเร่ง ขนาดตัวรถ การกระจายน้ำหนัก และ การเซ็ทของตัวรถ ทำให้มันตอบโจทย์สายซิ่งได้เป็นอย่างดี รวมทั้งเบรค และ ยางที่ให้มา คุณภาพ คือดี เป็นรถยนต์ไฟฟ้าในงบราคาไม่เกินล้าน ที่คุณภาพการขับขี่ ความสนุก ในการขับดีขึ้นกว่า MG ในยุคก่อน ๆ

 

การกลับมาอีกครั้ง ในรุ่นประกอบในประเทศ ที่มีความแตกต่างจากรุ่นนำเข้าทั้งคัน ในรายละเอียดหลายจุดตามที่มีการเกริ่นไปก่อนหน้า ภาพรวมการปรับปรุง ในหลาย ๆ ส่วนในเวอร์ชั่นประกอบไทยมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น หรือจะใช้คำว่าลงตัวกลมกล่อมมากยิ่งขึ้นก็ได้ในแง่มุมของการเป็นรถไฟฟ้าเพื่อการใช้งาน รวมทั้งราคาค่าตัวรถที่ถูกลง ซึ่งอันนี้น่าสนใจว่าเป็นกลยุทธ์ในการยั่ว ๆ คนที่กำลังจะจดจ้อง ๆ รถไฟฟ้า เพราะเหมือนได้ของที่มีการเติมเต็มให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นในเรื่องของการใช้งานแต่ทำราคาให้ดูมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้นในเรื่องของการจับจองซื้อหา เพราะรถยนต์ไฟฟ้าที่ราคาใกล้เคียงกับ MG4 Electric Standard Range  X  ก็จะมี BYD Dolphin  รวมถึง ORA Good Cat  แต่ ความแตกต่าง ก็คือ  MG4 คือ รถยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อหลัง หนึ่งเดียว ในงบไม่ถึงล้าน

 

ส่วนข้อกังวลใจ ในเรื่องของคุณภาพวัสดุ หรือ ปัญหาในระยะยาว ๆ นั้นจะเป็นยังไงก็ต้องใช้เวลาเป็นตัวพิสูจน์ครับ แต่เท่าที่ดูในแง่ของภาพรวมรู้สึกเลยว่าคันนี้ MG ตั้งใจขึ้นกว่าเดิมเยอะมากเช่นกัน ถ้ามองรถยนต์ไฟฟ้า เน้นใช้ในเมือง แต่ก็ชอบการขับขี่ในงบนี้คันนี้ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีอันดับต้น ๆ ได้เลยทันที

ในภาพรวมสำหรับคนที่หารถไฟฟ้าไว้ใช้งานในเส้นทางประจำบ่อย ๆ ตัว Standard นี้น่าจะตอบโจทย์ แต่ถ้าใครไม่ค่อยวางแผนการใช้งานอยากได้ระยะทางจากการชาร์จ 1 ครั้ง เผื่อ ๆ ไว้คุณก็ไปดูในตัว. Long Range V ทางเลือกในรุ่นย่อยให้ลูกค้าตัดสินใจ ส่วนในเวอร์ชั่นรุ่น long Range MG4 XPOWER รถยนต์ไฟฟ้าอีกหนึ่งรุ่นที่รอคอย มาพร้อมสมรรถนะแบบดุดันอย่างมอเตอร์คู่ 435 แรงม้า ขับเคลื่อนด้วย 4 ล้อ ตัวพิเศษสีเขียวด้านอย่างในตัว x power ถ้ามีโอกาสได้ทดลองขับแล้วจะมาพูดคุยให้ฟังนะครับ

 

สิ่งที่ไม่ชอบ

1. ทัศนวิสัยผ่านกระจกหลังให้มุมมองแคบ และติดหัวหมอนในเบาะหลัง

2. หน้าจอแสดงผล Dual Screen แบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว (Digital Multi-function Display) หลังพวงมาลัย บอกข้อมูลการขับขี่พื้นฐาน มองได้ยาก เมื่อใช้งานจริง

3. หน้าจอกลางของตัวรถ ผ่านหน้าจอมัลติมีเดียใหม่ 12นิ้ว ใช้งานได้ง่ายขึ้น แต่ในส่วนการแสดงผล ความสว่างของแสงแยงตา เมื่อใช้ในเวลากลางคืนนั้น จุดที่ถือว่าน่าจะปรับได้ดีกว่านี้

4. กล้องรอบคัน ที่ติดตั้งให้ ผ่านหน้าจอมัลติมีเดียใหม่ 12นิ้ว ความคมชัดน้อยเกินไป เช่นในกรณีถอยรถ หรือ เปิดไฟเลี้ยวแล้วภาพที่แสดงผ่านจอกลางตรงคอนโซลรถ มองไม่ชัดเจนความละเอียดของกล้อง เป็นปัญหาทั้งการมองในช่วงกลางวันและกลางคืน

5. ส่วนห้องโดยสารด้านหลัง ไม่มีแอร์ มาให้

6. ชายล่างตกแต่ง ด้านล่างของขอบประตู ต้องใช้ความระมัดระวัง ในการขึ้นลง

 

รุ่นย่อยทั้งหมด ของ MG 4 และราคา

1. Standard Range เกรด D= 709,900

2. Standard Range X =809,900 *(คันที่ทดสอบ)

3. Long Range V =889,900

4. X -Power =1,119,900

 

สรุปความเปลี่ยนแปลงของ MG4 Standard Range X 

1. ปรับไลน์อัพรุ่นย่อยใหม่

ยกเลิกรุ่น D และ X (แบตเตอรี่ 51 kWh)

เพิ่มรุ่น Standard Range D และ Standard Range X (แบตเตอรี่ 49 kWh) *คันที่นำมาทดสอบ

และเพิ่มรุ่น Long Range V (แบตเตอรี่ 64 kWh) วิ่งได้ไกลสูงสุด 540 กม. ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง

2.เพิ่มครีบระบายอากาศด้านหน้า เปิด – ปิด อัตโนมัติ Adaptive Grille

3. เพิ่มใบปัดน้ำฝน บริเวณกระจกบังลมหลัง

4. เพิ่มมือจับภายในห้องโดยสาร 3 ตำแหน่ง

5. เพิ่มช่องวางแก้วบริเวณแผงด้านข้างประตู

6. เปลี่ยนหน้าจอกลาง จากขนาด 10.25 นิ้ว เป็น 12 นิ้ว

7. เพิ่มสีตัวถังใหม่ สีส้ม Fizzy Orange