ลองขับยานแม่ Isuzu MU-X Ultimate 3.0
ตัว Top โมเดิร์นลุค สุดคุ้ม ในรุ่นขับ 2 กับ ADAS เจนใหม่
และพวงมาลัยไฟฟ้า EPS
ทดลองขับโดย กันต์ เย็นสบาย
สำหรับรถเอนกประสงค์ Isuzu MU-X ไมเนอร์เชนจ์ 2025 คันนี้ เป็นรุ่นย่อย ซึ่งรุ่น Ultimate เป็นตัว Top สุดในรุ่นปกติครับ ถ้าไม่นับรุ่น RS ตัวท็อป ตัวพีคของไลน์อัพการทำตลาดของ Isuzu MU-X ในบ้านเรา ในกลุ่มรถแบบ PPV เบาะ 3 แถว 7 ที่นั่ง พื้นฐานกระบะรุ่นปรับโฉม ที่ทางอีซูซุเค้าแยกแบ่งระดับการตกแต่งเป็น 4 เกรด คือ Active, Elegant, Ultimate และ RS สำหรับไลน์อัพการทำตลาด ของ Isuzu MU-X ในบ้านเรา และแบ่งรุ่นย่อย ของ Isuzu MU-X 2025 ตามสไตล์การตกแต่ง รวมทั้งหมด ทุกรุ่นย่อยรวม 7 รุ่น เริ่มตั้งแต่ Isuzu MU-X รุ่น 1.9 Active ขับเคลื่อนล้อหลัง ราคา 1,184,000 บาท ไปจนถึง Isuzu MU-X รุ่น 3.0 RS ขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคา 1,759,000 บาท
ส่วนใน Isuzu MU-X รุ่น 3.0 Ultimate ขับเคลื่อนล้อหลัง สีดำ Bavarian Black Mica ที่ผมได้มาลองขับคันนี้ ถึงจะไม่ใช่ตัวท็อปเหมือน รุ่น 3.0 RS ที่มีกล้องรอบคัน แต่ก็มีไฮไลท์ ที่ระบบความปลอดภัย ADAS ในเจเนอเรชันล่าสุดแบบเต็ม 17 ระบบครับ รวมทั้งมีการปรับพวงมาลัยไฟฟ้า EPS เพิ่มมาให้สามารถขับได้เบาสบายและคุมรถได้ง่ายมากขึ้น กับการใช้งานในเมือง กับรถ PPV แบบนี้ ราคาค่าตัวเค้า อยู่ที่ 1,589,000 บาท ซึ่งราคาค่าตัวจะต่างกันกว่า คู่เทียบใน Isuzu MU-X รุ่นเครื่อง 1.9 Ultimate ขับเคลื่อนล้อหลัง อยู่ไม่มากครับแค่ 45,000 บาท ครับ…
ระบบความปลอดภัยชุดใหญ่ และ ADAS ใหม่ เพิ่ม 5 ฟังก์ชัน
อย่างที่บอกครับ สำหรับ Isuzu MU-X 2025 ในรุ่น 3.0 Ultimate คันนี้ ถึงจะไม่ใช่รุ่น RS ที่มีกล้องรอบคันมาให้ แต่ในเรื่องของอุปกรณ์มาตรฐาน จุดอื่น ๆ ก็แทบจะไม่ต่างจากในรุ่น RS ตัวท็อปครับ ทั้งพวงมาลัยไฟฟ้า EPS หน้าจออินโฟเทนเมนท์ 9 นิ้ว Wireless Android Auto Wireless Apple CarPlay จอแสดงข้อมูลการขับขี่ Integrated MID ฝาท้ายไฟฟ้า Smart Tailgate with Step Sensor เบาะนั่งฝั่งผู้ขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง เบาะนั่งแถว 2 และ 3 ปรับเอนและพับราบได้ /จุดยึด ISOFIX เบาะแถวที่ 2 และเบาะนั่งแถว 3 ปรับพับได้แบบ One Touch
ในส่วนของระบบความปลอดภัย ทั้งระบบเบรก ABS/EBD/BA ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีขณะออกตัว (TCS) ระบบควบคุมการทรงตัว( ESC) ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HSA) ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน( HDC )ระบบควบคุมการส่ายของส่วนพ่วงท้าย (TSC)ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมฟังก์ชัน (Stop and GO ACC)
ระบบช่วยแจ้งเตือนก่อนการชนด้านหน้า (FCW) + ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB) ระบบช่วยแจ้งเตือนจุดอับสายตา (BSM) ระบบเซ็นเซอร์ช่วยจอดรถยนต์ (Parking Aid System) ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อมีรถสวนทางขณะเลี้ยวขวา (TA-AEB) ระบบช่วยควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ (AHB) ระบบช่วยตัดกำลังเครื่องยนต์เมื่อเหยียบคันเร่งผิดพลาด (PMM) และ ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติหลังการเกิดอุบัติเหตุ (MCB) ระบบช่วยตั้งค่าจำกัดความเร็วสูงสุดด้วยตัวเอง (MSL)
ทั้งหมดที่ว่ามาติดตั้งอยู่ในระบบความปลอดภัย ADAS เจเนอเรชันล่าสุด ที่ทำงานผ่านกล้องหน้าคู่ เรดาร์ 2 จุด และเซ็นเซอร์ 8 จุดรอบคัน รวมไปถึงการเพิ่ม 5 ฟังก์ชันใหม่ ครับ ทั้งระบบ ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKAS) ระบบช่วยควบคุมทิศทางของรถตามรถคันหน้า (TJA) ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ( ELK) ระบบช่วยควบคุมรถไม่ให้ออกนอกเลน (LDP) + ระบบแจ้งเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW) ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติขณะถอย (RCTB + ระบบช่วยเตือนขณะถอย (RCTA) เป็นฟังก์ชันใหม่มาให้อีกด้วยครับ
เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 Ddi 190 แรงม้า เกียร์ 6 Speed และของใหม่พวงมาลัยไฟฟ้า EPS
นอกเหนือจาก Option ที่แทบจะเหมือนกับในตัวรุ่น Ultimate 1.9 ก็จะมีแค่เรื่องของสเปคของเครื่องยนต์เท่านั้นครับ ที่ 2 รุ่นย่อย ใน Isuzu MU-X รุ่น Ultimate มีความแตกต่างกัน โดย Isuzu MU-X รุ่น Ultimate จะมีให้เลือกทั้งในแบบเครื่องยนต์ดีเซล 1.9 ลิตร Ddi Blue Power 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร และในรุ่น เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร Ddi Blue Power 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร เกียร์อัตโนมัติ 6 Speed พร้อมโหมด Rev Tronic และ Sequential Paddle Shift ที่พวงมาลัย อย่างในคันที่ผมนำมาทดลองขับ
ทางอีซูซุเลือกนำ พวงมาลัยไฟฟ้า EPS แบบ Multifunction พร้อม Paddle Shift และ All Speed Range Adaptive Cruise Control (ACC) มาทำหน้าที่ แทนที่พวงมาลัยเพาเวอร์ ในระบบไฮดรอลิก แบบเดิม ทำให้ในเรื่องการคุมรถ แน่นอนทำได้ดีขึ้น ละเอียดขึ้นเนื่องจากกระแสไฟฟ้า EPS ได้รับจากแบตเตอรี่โดยตรง และการควบคุมหลักถูกส่งมาจากกล่องควบคุม (ECU) ของรถยนต์เข้ามาที่มอเตอร์ไฟฟ้า และยังมีการเชื่อมต่อจาก Speed Sensor เพื่อควบคุมความหนักเบาของพวงมาลัย ทำให้ไม่ต้องใช้การฉุดรอบจากเครื่องยนต์แบบพวงมาลัยระบบไฮดรอลิก ทำให้พวงมาลัยมีความนิ่งและรู้สึกมั่นใจขึ้น ขณะขับในความเร็วสูง และยังมีระบบดึงเลนส์เข้าเลนส์ เข้ามาเพื่อช่วยผู้ขับ
ในรุ่น Ultimate เครื่องยนต์ 1.9 และ 3.0 โครงสร้างของรถ ยังเป็นตัวถังเสริมเหล็ก Ultra-High Tensile ที่มีการวางตำแหน่งเครื่องยนต์เยื้องหลังเพลาหน้าแบบ Semi-Midship ช่วยกระจายน้ำหนัก ส่วนระบบช่วงล่าง ยังเป็นช่วงล่างคอยล์สปริงทั้ง 4 ล้อ ด้านหน้าเป็นแบบอิสระปีกนก 2 ชั้น Double Wishbone และเหล็กกันโคลง และช่วงล่างด้านหลังเป็นแบบ 5-Link Suspension พร้อมเหล็กกันโคลง ที่โดยรวมให้ฟิลความนุ่มนวลในการขับขี่ เกาะถนน และทรงตัวได้ดีแม้รถจะเป็นแบบเอนกประสงค์ยกสูงครับ
ดีไซน์ใหม่ ทั้งภายนอก ภายใน แบบ Modern Luxe
สำหรับมิติตัวถังของ Isuzu MU-X 2025 ใหม่ จะมีความยาว 4,860 มม. กว้าง 1,870 มม. สูง 1,875 มม. ความยาวฐานล้อ 2,855 มม. ความสูงใต้ท้องรถ 235 มม. ส่วนตัวถังของ Isuzu MU-X รุ่น Ultimate มีให้เลือก 6 สี ครับ ทั้ง สีเทา Eiger Gray สีขาวมุก สีแดง Etna Red สีเงิน Iceberg และ สีเงิน Bohemian รวมไปถึง สีดำ Bavarian Black Mica อย่างในคันที่นำมาทดลองขับ
ดีไซน์รถรอบคัน ดูภูมิฐาน เน้นความเรียบหรู กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ Dynamic Grille วัสดุสีดำ Titanium Carbide ไฟหน้าและไฟท้ายใหม่ DYNAMIC BLADE ดีไซน์สปอร์ตเหมือนกันทุกรุ่นย่อย เป็น full LED พร้อม Daylight มี่ดูเหมือนไฟรมดำ และมีไฟตัดหมอกมาให้ ชุดไฟท้ายเดินด้วยเส้น EMBRACE LINE ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ Dynamic Turbine ขนาด 20 นิ้ว สี Magnetite II พร้อมดีเทลก้านแม็กแบบ 3D ดูมีมิติแต่ล้อไม่ยื่นออกมานอกตัวรถ กระจกพับไฟฟ้ามีไฟเลี้ยวในตัวเป็นแบบสีทูโทน 2 สี แต่เวลาล็อครถ กระจกไม่พับอัตโนมัติให้นะครับ เราต้องกดพับเอง จากตำแหน่งปุ่มพับกระจกจากด้านในตัวรถ หลังคารถ สีเดียวกับตัวรถ และติดตั้งราวหลังคาโทนสีเข้มแข็งแรง ทนทาน ที่สามารถติดตั้งแร็ค เพิ่มเติมได้ ส่วนมิติด้านหลังก็ดูลงตัวมากยิ่งขึ้น ฝาท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าและหยุดเมื่อมีอะไรขวางด้วยระบบ Jam Protection
ความกว้างขวางและเอนกประสงค์ และเบาะนั่งดีไซน์ใหม่ 7 ที่นั่ง ที่เล่นสีใหม่น้ำตาลตัดกับเทา ดูโคซี่หรูหรา รวมทั้ง พวงมาลัยไฟฟ้า ที่มีเฉพาะ ในรุ่น Ultimate กับ RS เท่านั้น กุญแจในแบบสมาร์ตคีย์ สามารถสั่งสตาร์ทรถจากระยะไกลได้ ประตูเปิดได้แบบคีย์เลส สตาร์ทรถผ่านกุญแจรีโมทได้
ภายในห้องโดยสารถูกตกแต่งด้วยโทนสีนุ่มนวล สบายตา ด้วยคอนโซลและเบาะ 7 ที่นั่ง ออกแบบใหม่ สี Truffle Brown โอบรับสรีระ ด้วยวัสดุ Cool Max ลดการสะสมความร้อน เบาะปรับไฟฟ้าฝั่งคนขับปรับได้ 8 ทิศทาง และเบาะนั่งตอน 2 และตอน 3 ปรับเอนได้พร้อมพับได้ราบ เพิ่มพื้นที่เก็บของ เข้าออกที่นั่งตอน 3 แบบ One Touch ส่วนหน้าจอกลาง 9 นิ้วเปลี่ยนใหม่ แสดงข้อมูลชัดเจนมากยิ่งขึ้น รองรับ Apple Cafe Android Auto แบบไร้สายสามารถดู Google Map ได้ หน้าจอหลังผู้ขับ มีกราฟฟิกที่ดูทันสมัยขึ้น ทั้งหมดที่ว่ามา ก็ช่วยทำให้ห้องโดยสารของ Isuzu MU-X Ultimate 3.0 คันนี้ดูมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้นครับ…
บทสรุปหลังขับ
ทำเกมส์รุกตลาดรถเอนกประสงค์ครั้งใหญ่ ได้น่าสนใจ กับการออกแบบครั้งใหม่ ในคอนเซปต์ ดีไซน์ใหม่ “เดอะ เน็คซ์พีค” ซึ่งถ้าจะเปรียบเทียบ รถรุ่นนี้ กับกลุ่มรถ PPV คู่เทียบก็มีหลายแบรนด์ครับ ทั้ง Toyota Fortuner Mitsubishi Pajero รวมถึง Ford Everest ซึ่งก็ต่างมีจุดแข็ง จุดขาย ของในแต่ละแบรนด์แตกต่างกันออกไป
สำหรับ อีซูซุเองถือว่าเป็นแบรนด์ที่ทำการบ้านในเรื่องการทำความรู้จักลูกค้าคนไทยเป็นอย่างดีครับ ปรุงรสได้ถูกจริต รู้ความต้องการของลูกค้าตัวเองเป็นอย่างดีครับ การปรับพวงมาลัยไฟฟ้า EPS เพิ่มมาให้ สำหรับผมก็มองว่า ตอบโจทย์ตรงกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มสุภาพสตรี สามารถขับได้เบาสบายและคุมรถได้ง่ายมากขึ้น กับการใช้งานในเมือง กับรถ PPV คันใหญ่ ๆ แบบนี้ครับ
ในรุ่น Ultimate โฉมปัจจุบันนี้ จะไม่มีในแบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แล้วแต่จุดดีคือความทนทานของรถในแบบ PPV ขับ 2 เป็นรุ่นที่เน้นให้ใช้งานและแอบซ่อนฟังก์ชั่นดี ๆ เอาไว้เยอะ แม้ว่าสมรรถนะรวมของตัวรถ จะไม่ได้เน้นขับแรง ขับมันส์เท่าไหร่ เน้นใช้งานทั่วไป แต่มีการเซทอัพ เพื่อให้ใช้งานรถได้สะดวกสบายกว่าเดิม
กับทางเลือกถึง 7 รุ่นย่อยในตระกูลเดียวกัน ถ้าคุณชอบการตกแต่งแบบสปอร์ตอุปกรณ์ครบ รวมถึงระบบขับเคลื่อนที่เลือกได้ทั้งล้อหลังหรือขับเคลื่อน 4 ล้อ มีทางเลือกเดียวคือเกรด RS เท่านั้น ซึ่งหากคุณต้องการรถอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ไว้ใช้งาน ขับขี่ได้ดี ระบบช่วงล่างแข็งแรง และให้ความสำคัญกับระบบความปลอดภัย แต่ไม่ต้องการเน้นในเรื่องความสปอร์ต หรือออพชั่นกล้องรอบคัน 360 องศาที่เพิ่มมุมมองใต้ท้องรถ เกรด Ultimate 3.0 นี้ผมมองว่าคุ้มค่าสุดครับ เพราะแพงกว่าเกรด Elegant เพียง 125,000 บาท แต่ได้ระบบช่วยขับขี่ ADAS รวมถึงอุปกรณ์อำนวยความสะดวก เหมือนเกรด RS รวมทั้งระบบพวงมาลัยไฟฟ้า EPS นั้น ในระยะยาว ก็ยังบำรุงรักษาง่ายกว่าแบบระบบไฮดรอลิกแบบเดิม เพราะไม่ต้องคอยเติมน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ในการทำงานอีกด้วยครับ
ท่านใดสนใจก็สอบถามได้จากโชว์รูมอีซูซุทั่วประเทศ หรือจะเข้าไปส่องใน www.isuzu-tis.com